แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยกระทำความผิดฐานฝ่าฝืนคำสั่งของนายกรัฐมนตรีที่ 3/2529 เรื่อง กำหนดมาตรการเพื่อแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง ลงวันที่ 30 กรกฎาคม 2529 ข้อ 20 ออกตามความในมาตรา 3 แห่งพระราชกำหนดแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. 2516 ซึ่งระบุว่า “ห้ามมิให้ผู้ใดนำก๊าซที่บรรจุในถังก๊าซหุงต้มไปใช้เป็นเชื้อเพลิงสำหรับยานพาหนะ หรือถ่ายก๊าซออกจากถังก๊าซหุงต้มนอกสถานที่บรรจุก๊าซไม่ว่าจะกระทำด้วยวิธีใด ๆ ทั้งสิ้น” อันเป็นคำสั่งที่ห้ามเด็ดขาดไม่มีข้อยกเว้นให้อนุญาตให้ทำได้ จึงเป็นความผิดอยู่ในตัวมิใช่อยู่ที่ได้รับอนุญาตหรือไม่ ดังนั้น เครื่องมือเครื่องใช้ในการถ่ายก๊าซ เครื่องสูบก๊าซ ท่อพักก๊าซ ถังเก็บก๊าซ และจ่ายก๊าซถังก๊าซหุงต้ม เศษเหล็กของถังก๊าซซึ่งระเบิดเสียหาย สายสูบก๊าซพร้อมหัวสูบ เครื่องชั่งน้ำหนัก แท่นรองถังก๊าซ และรถยนต์บรรทุกถังก๊าซ ของกลาง จึงเป็นทรัพย์สินที่ได้ใช้หรือมีไว้เพื่อใช้ ในการกระทำความผิด ศาลมีอำนาจริบได้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 33
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ ๒๘ ลงวันที่ ๒๙ ธันวาคม ๒๕๑๔ ข้อ ๒, ๔ พระราชกำหนดแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ.๒๕๑๖ มาตรา ๓, ๘ พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมพระราชกำหนดแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ.๒๕๑๖ (ฉบับที่ ๓) พ.ศ.๒๕๒๐ มาตรา ๓ คำสั่งนายกรัฐมนตรีที่ ๓/๒๕๒๙ เรื่อง กำหนดมาตรการเพื่อแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง ลงวันที่ ๓๐ กรกฎาคม ๒๕๒๙ ข้อ ๒๐ พระราชบัญญัติสาธารณสุข พ.ศ.๒๔๘๔ มาตรา ๘, ๖๘ ข้อบัญญัติกรุงเทพมหานคร เรื่องควบคุมการค้าซึ่งเป็นที่รังเกี่ยจหรืออาจเป็นอันตรายแก่สุขภาพ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ.๒๕๒๖ ข้อ ๔ (๘๔) ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๓, ๘๓, ๙๑, ๒๒๕, ๓๙๐ พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ ๖) พ.ศ.๒๕๒๖ มาตรา ๔ ริบของกลางทั้งหมด
จำเลยทั้งสามให้การรับสารภาพ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสามมีความผิดตามประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ ๒๘ ลงวันที่ ๒๙ ธันวาคม ๒๕๑๔ ข้อ ๒, ๔ พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมพระราชกำหนดแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ.๒๕๑๖ (ฉบับที่ ๓) พ.ศ.๒๕๒๐ มาตรา ๓ คำสั่งนายกรัฐมนตรีที่ ๓/๒๕๒๙ เรื่อง กำหนดมาตรการเพื่อแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิงลงวันที่ ๓๐ กรกฎาคม พ.ศ.๒๕๒๙ ข้อ ๒๐ พระราชบัญญัติสาธารณสุข พ.ศ.๒๔๘๔ มาตรา ๘, ๖๘ ข้อบัญญัติกรุงเทพมหานคร เรื่อง ควบคุมการค้าซึ่งเป็นที่รังเกียจหรืออาจเป็นอันตรายแก่สุขภาพ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ.๒๕๒๖ ข้อ ๔ (๘๔) ประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๓๓, ๘๓, ๙๑, ๒๒๕, ๓๙๐ พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ ๖) พ.ศ.๒๕๒๖ มาตรา ๔ ความผิดตามพระราชกำหนดแก้ไขและป้องกันฯ มาตรา ๓, ๘ และประกาศของคณะปฏิวัติฯ ข้อ ๒, ๔ ลงโทษตามพระราชกำหนดแก้ไขมาตรา ๓, ๘ และประกาศของคณะปฏิวัติฯ ข้อ ๒, ๔ ลงโทษตามพระราชกำหนดแก้ไขและป้องกันฯ มาตรา ๓, ๘ บทหนักตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๙๐ จำคุกคนละ ๘ ปี ความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๒๕, ๓๙๐ ลงโทษตามมาตรา ๒๒๕ บทหนักตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๙๐ จำคุกคนละ ๖ ปี ลงโทษตามพระราชบัญญัติสาธารณสุขฯ มาตรา ๘, ๖๘ ปรับคนละ ๑๐๐ บาท รวม ๓ กระทง ให้จำคุกคนละ ๑๔ ปี และปรับคนละ ๑๐๐ บาท จำเลยให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณานับเป็นเหตุบรรเทาโทษตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๗๘ เห็นสมควรลดโทษให้กึ่งหนึ่ง คงจำคุกคนละ ๗ ปี และปรับคนละ ๕๐ บาท ของกลางไม่ริบ
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ ๒๘ ลงวันที่ ๒๙ ธันวาคม ๒๕๑๔ ข้อ ๒, ๔ พระราชกำหนดแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ.๒๕๑๖ มาตรา ๓, ๘ ที่แก้ไขแล้ว คำสั่งนายกรัฐมนตรีที่ ๓/๒๕๒๙ เรื่อง กำหนดมาตรการเพื่อแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง ลงวันที่ ๓๐ กรกฎาคม ๒๕๒๙ ข้อ ๒๐ ลงโทษตามพระราชกำหนดแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิงฯ บทหนักอีกกระทงหนึ่ง จำคุกคนละ ๘ ปี จำเลยทั้งสามให้การรับสารภาพ ลดโทษให้ตามมาตรา ๗๘ กึ่งหนึ่ง คงจำคุกคนละ ๔ ปี นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว ปัญหาในชั้นนี้คงมีตามฎีกาโจทก์เพียงว่า ควรริบของกลางหรือไม่เท่านั้น ศาลฎีกาเห็นว่า จำเลยกระทำความผิดฐานฝ่าฝืนคำสั่งของนายกรัฐมนตรีที่ ๓/๒๕๒๙ เรื่อง กำหนดมาตรการเพื่อแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง ลงวันที่ ๓๐ กรกฎาคม ๒๕๒๙ ซึ่งออกตามความในมาตรา ๓ แห่งพระราชกำหนดแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ.๒๕๑๖ ข้อ ๒๐ อยู่ด้วย ซึ่งคำสั่งข้อนี้ระบุว่า “ห้ามมิให้ผู้ใดนำก๊าซที่บรรจุในถังก๊าซหุงต้มไปใช้เป็นเชื้อเพลิงสำหรับยานพาหนะ หรือถ่ายก๊าซออกจากถังก๊าซหุงต้มนอกสถานที่บรรจุก๊าซ ไม่ว่าจะกระทำด้วยวิธีใด ๆ ทั้งสิ้น” อันเป็นคำสั่งที่ห้ามเด็ดขาด ไม่มีข้อยกเว้นให้อนุญาตให้ทำได้ จึงเป็นความผิดอยู่ในตัวไม่ใช่อยู่ที่ได้รับอนุญาตหรือไม่ ดังนั้น เครื่องมือ เครื่องใช้ในการถ่ายก๊าซจึงถูกริบได้ แม้คำสั่งและพระราชกำหนดดังกล่าวจะมิได้บัญญัติให้ริบไว้โดยเฉพาะแต่ก็มิได้บัญญัติไว้เป็นอย่างอื่น จึงนำเอาบทบัญญัติทั่วไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๓ (๑) ที่ว่าเป็นทรัพย์สินซึ่งบุคคลได้ใช้หรือมีไว้เพื่อใช้ในการกระทำความผิดมาใช้บังคับได้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๗ โดยเฉพาะอย่างยิ่งของกลางคดีนี้คือ เครื่องสูบก๊าซชนิดไอพร้อมมอเตอร์ เครื่องสูบก๊าซชนิดเหลวพร้อมมอเตอร์ ท่อพักก๊าซ ถังเก็บก๊าซและจ่ายก๊าซ ถังก๊าซหุงต้ม เศษเหล็กของถังก๊าซซึ่งระเบิดเสียหาย สายสูบก๊าซ สายสูบก๊าซพร้อมหัวสูบ เครื่องชั่งน้ำหนัก แท่นรองถังก๊าซ รถยนต์บรรทุกถังก๊าซ ขนาด ๑๓,๐๐๐ ลิตร หมายเลขทะเบียน ๘๐ – ๒๔๘๗ พระนครศรีอยุธยาก็ล้วนแต่มีสภาพที่ได้ใช้และมีไว้เพื่อใช้ในการกระทำความผิดทั้งสิ้น ประกอบกับเมื่อโจทก์กล่าวอ้างในฟ้องว่าจำเลยทั้งสามได้ใช้และมีไว้เพื่อใช้ในการกระทำความผิด จำเลยทั้งสามก็ให้การรับสารภาพตามฟ้องจึงต้องฟังว่าของกลางคดีนี้เป็นทรัพย์สินที่ได้ใช้หรือมีไว้เพื่อใช้ในการกระทำความผิดซึ่งศาลมีอำนาจริบได้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๓ ที่ศาลอุทธรณ์ไม่ริบของกลางโดยเข้าใจว่าของกลางคือก๊าซแล้ววินิจฉัยว่า การที่จำเลยทั้งสามมีก๊าซไว้ไม่เป็นความผิดจึงไม่ริบก๊าซของกลางนั้น ยังคลาดเคลื่อนอยู่ ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาโจทก์ฟังขึ้น
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ริบของกลางทั้งหมด นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์