แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
บริษัทผู้รับประกันภัยรถยนต์คันที่ถูกละเมิดซึ่งได้ใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่ผู้เอาประกันภัยไปแล้ว ย่อมเป็นผู้รับช่วงสิทธิของผู้เอาประกันภัยตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 880 และย่อมมีสิทธิเสมอเหมือนกับผู้เอาประกันภัยในอันจะฟ้องเรียกค่าสินไหมทดแทนที่ตนได้ชำระไปนั้นจากบริษัทผู้ประกันภัยค้ำจุนรถยนต์คันที่ทำละเมิดได้ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 226
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ที่ ๑ เป็นเจ้าของและผู้ครอบครองรถยนต์คันหมายเลขทะเบียน ก.จ.๐๓๗๔๗ ซึ่งได้เอาประกันภัยไว้กับบริษัทโจทก์ที่ ๒ ซึ่งเป็นนิติบุคคล มีวัตถุประสงค์ในการประกอบกิจการรับประกันภัย ในวงเงิน ๕๐,๐๐๐ บาท และให้โจทก์ที่ ๑ ผู้เอาประกันภัยรับผิดชอบในความเสียหาย ๕๐๐ บาทแรกของอุบัติเหตุแต่ละครั้ง จำเลยที่ ๑ เป็นลูกจ้างของจำเลยที่ ๒ และที่ ๓ ซึ่งเป็นเจ้าของและผู้ครอบครองรถยนต์บรรทุกคันหมายเลขทะเบียน น.ฐ.๐๔๖๒๑ ซึ่งได้เอาประกันไว้กับบริษัทจำเลยที่ ๔ เมื่อวันที่ ๒๒ กันยายน ๒๕๑๓ เวลาประมาณ ๔ นาฬิกา จำเลยที่ ๑ ได้ขับรถยนต์บรรทุกคันหมายเลขทะเบียน น.ฐ.๐๔๖๒๑ ไปในทางการที่จ้างของจำเลยที่ ๒ และที่ ๓ จำเลยที่ ๑ ได้ขับรถโดยประมาท คือขับรถเร็วเกินกว่าอัตราที่กฎหมายกำหนด และแล่นล้ำเส้นกึ่งกลางถนนพุ่งเข้าชนรถยนต์ของโจทก์ที่ ๑ เป็นเหตุให้รถยนต์ของโจทก์ที่ ๑ ได้รับความเสียหาย โจทก์ที่ ๑ ได้จ่ายค่าซ่อมเองในความเสียหาย ๕๐๐ บาทแรก และโจทก์ที่ ๒ ซึ่งรับประกันภัยได้จ่ายค่าซ่อมไปอีกเป็นเงิน ๑๓,๘๑๐ บาท โจทก์ที่ ๒ จึงเป็นผู้รับช่วงสิทธิฟ้องเรียกค่าเสียหายจำนวนนี้ นอกจากนี้โจทก์ที่ ๑ ยังเสียหายขาดรายได้จากการใช้รถยนต์ประกอบกิจการค้าในระหว่างซ่อมรถ ๖๐ วัน เป็นเงิน ๑๘,๐๐๐ บาท รถของโจทก์ที่ ๑ เสื่อมราคาไปเป็นเงิน ๑๐,๐๐๐ บาท โจทก์ทวงถามให้จำเลยทั้งสี่ใช้ค่าเสียหายแล้ว จำเลยเพิกเฉย จึงขอให้ศาลพิพากษาบังคับจำเลยร่วมกันและแทนกันใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ที่ ๑ เป็นเงิน ๒๘,๕๐๐ บาท และแก่โจทก์ที่ ๒ เป็นเงิน ๑๓,๘๑๐ บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเงินเสร็จ
จำเลยที่ ๑ และที่ ๒ ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา ส่วนจำเลยที่ ๓ นั้น โจทก์ขอถอนฟ้อง ศาลชั้นต้นอนุญาต
จำเลยที่ ๔ ให้การว่า โจทก์ที่ ๑ ไม่ได้เป็นเจ้าของและครอบครองรถยนต์คันหมายเลขทะเบียน ก.จ.๐๓๗๔๗ และไม่ได้เอาประกันภัยไว้กับโจทก์ที่ ๒ จำเลยที่ ๑ จะเป็นลูกจ้างของจำเลยที่ ๒ และที่ ๓ หรือไม่ และจำเลยที่ ๒ กับที่ ๓ เป็นเจ้าของรถหมายเลขทะเบียน น.ฐ.๐๔๖๒๑ หรือไม่ จำเลยที่ ๔ ไม่รับรอง โจทก์ไม่เคยทวงถามค่าเสียหายจากจำเลยที่ ๔ โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง เหตุที่รถยนต์ชนกันเกิดเพราะความประมาทของลูกจ้างขับรถของโจทก์ที่ ๑ จำเลยที่ ๑ ไม่ได้ประมาท โจทก์จึงไม่มีสิทธิฟ้องเรียกค่าเสียหายจากจำเลยที่ ๔ โจทก์เสียหายค่าซ่อมไม่เกิน ๓,๐๐๐ บาท โจทก์ที่ ๑ ขาดรายได้ไม่เกินวันละ ๕๐ บาท และใช้เวลาซ่อมรถไม่เกิน ๗ วัน รถโจทก์เก่าเมื่อซ่อมให้ดีแล้วจึงไม่เสื่อมราคาอีก หากเสื่อมราคาก็ไม่เกิน ๑,๐๐๐ บาท ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ววินิจฉัยว่า โจทก์ที่ ๒ ไม่มีอำนาจฟ้องเรียกค่าเสียหายจากจำเลยที่ ๔ ซึ่งเป็นบริษัทประกันภัย และเป็นบุคคลภายนอกผู้มิได้กระทำให้เกิดความวินาศภัย จำเลยที่ ๑ เป็นลูกจ้างของจำเลยที่ ๒ ขับรถไปในทางการที่จ้างด้วยความประมาท เป็นเหตุให้ชนรถยนต์โจทก์ที่ ๑ เสียหาย พิพากษาให้จำเลยที่ ๑ ที่ ๒ และที่ ๔ ร่วมกันใช้เงิน๑๘,๕๐๐ บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จให้แก่โจทก์ที่ ๑๔ และร่วมกันใช้ค่าฤชาธรรมเนียมเฉพาะค่าขึ้นศาลเท่าที่ชนะคดี และค่าทนายความ ๕๐๐ บาทแทนโจทก์ที่ ๑ ให้จำเลยที่ ๑ และที่ ๒ ร่วมกันใช้เงิน ๑๓,๘๑๐ พร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ที่ ๒ และร่วมกันใช้ค่าฤชาธรรมเนียม ค่าทนายความ ๔๐๐ บาท แทนโจทก์ที่ ๒ ด้วย ให้ยกฟ้องโจทก์ที่ ๒ เฉพาะที่เกี่ยวกับจำเลยที่ ๔ ค่าฤชาธรรมเนียมและค่าทนายความระหว่างโจทก์ที่ ๒ กับจำเลยที่ ๔ ให้เป็นพับ
โจทก์ที่ ๒ อุทธรณ์ว่าจำเลยที่ ๔ ต้องร่วมรับผิดต่อโจทก์ที่ ๒ ด้วย
จำเลยที่ ๔ อุทธรณ์ว่าจำเลยที่ ๔ ไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ที่ ๑ หากรับผิดก็ไม่เกิน ๔,๐๐๐ บาท
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า โจทก์ที่ ๒ ซึ่งได้ใช้ค่าเสียหายตามสัญญาประกันภัยแทนโจทก์ที่ ๑ มีสิทธิรับช่วงสิทธิและฟ้องเรียกค่าเสียหายจากจำเลยที่ ๔ ซึ่งรับประกันภัยค้ำจุนได้ อุทธรณ์ของจำเลยที่ ๔ ฟังไม่ขึ้น พิพากษาแก้ เป็นว่าให้จำเลยที่ ๔ ร่วมกับจำเลยที่ ๑ และที่ ๒ ใช้เงิน ๑๓,๘๑๐ บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ที่ ๒ ให้จำเลยร่วมกันใช้ค่าฤชาธรรมเนียมสองศาลแทนโจทก์ที่ ๒ เฉพาะค่าทนายความให้ใช้แทนรวมเป็นเงิน ๕๐๐ บาท นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลขั้นต้น
จำเลยที่ ๔ ฎีกา
ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า จำเลยที่ ๑ เป็นลูกจ้างจำเลยที่ ๒ ขับรถยนต์ในทางการที่จ้างโดยประมาทชนรถยนต์ของโจทก์ที่ ๑ ซึ่งเอาประกันวินาศภัยไว้กับโจทก์ที่ ๒ เสียหาย โจทก์ที่ ๒ ได้เสียค่าซ่อมรถของโจทก์ที่ ๑ แล้ว เป็นเงิน ๑๓,๘๑๐ บาท และจำเลยที่ ๔ ได้รับประกันภัยค้ำจุนรถยนต์ของจำเลยที่ ๒ ไว้
ศาลฎีกาวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายว่า จำเลยที่ ๔ ฎีกาข้อแรกว่า โจทก์ที่ ๒ จะเข้ารับช่วงสิทธิโจทก์ที่ ๑ ฟ้องเรียกค่าเสียหายจากจำเลยที่ ๔ ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกและไม่ได้ก่อให้เกิดความวินาศภัยขึ้นไม่ได้นั้น ศาลฎีกาเห็นว่า โจทก์ที่ ๒ ซึ่งเป็นบริษัทรับประกันภัยได้ใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่โจทก์ที่ ๑ ผู้เอาประกันภัยแล้ว จึงเป็นผู้รับช่วงสิทธิของโจทก์ที่ ๑ ตามจำนวนที่ใช้ค่าสินไหมทดแทนไปตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๘๘๐ และมาตรา ๒๒๖ ซึ่งเป็นบทบัญญัติทั่วไปเรื่องรับช่วงสิทธิบัญญัติไว้ว่า “บุคคลผู้รับช่วงสิทธิของเจ้าหนี้ชอบที่จะใช้สิทธิทั้งหลายบรรดาที่เจ้าหนี้มีอยู่โดยมูลหนี้รวมทั้งประกันแห่งนี้นั้นได้ในนามของตนเอง ฯลฯ” เมื่อโจทก์ที่ ๑ ผู้ต้องเสียหายจากความวินาศภัยมีสิทธิที่จะฟ้องเรียกค่าสินไหมทดแทนจากจำเลยที่ ๔ ซึ่งเป็นผู้รับประกันภัยค้ำจุนได้โดยตรงดังที่บัญญัติไว้ในมาตรา ๘๘๗ วรรค ๒ แล้ว เช่นนี้ เห็นได้ว่าโจทก์ที่ ๒ ผู้รับช่วงสิทธิของโจทก์ที่ ๑ ก็ย่อมต้องมีสิทธิเสมอเหมือนกับโจทก์ที่ ๑ ที่จะฟ้องเรียกค่าสินไหมทดแทนที่ตนชำระไปจากจำเลยที่ ๔ ซึ่งเป็นผู้รับประกันภัยค้ำจุนได้ดุจเดียวกัน ฎีกาจำเลยที่ ๔ ข้อนี้ฟังไม่ขึ้น และวินิจฉัยปัญหาข้อเท็จจริงเห็นพ้องด้วยกับศาลอุทธรณ์
พิพากษายืน