แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
สัญญาระหว่างโจทก์จำเลยมีข้อความว่า จำเลยมอบอำนาจให้ผู้เริ่มก่อการบริษัทโจทก์ทำการขับไล่หรือรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างที่เช่าอยู่ในบริเวณที่ดินที่โจทก์จะปลูกสร้างโดยผู้เริ่มก่อการบริษัทโจทก์จะเป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายแต่ผู้เดียว จำเลยจะไม่รับผิดชอบในความเสียหายใด ๆ ทั้งสิ้นนั้น หมายความว่าโจทก์มีหน้าที่ดำเนินการขับไล่หรือทำอย่างไรให้ผู้เช่าที่ดินที่จะใช้ก่อสร้างรื้อถอนขนย้ายอาคารออกไปเพื่อสร้างใหม่ โดยโจทก์เป็นผู้เสียค่าใช้จ่ายแต่ผู้เดียว หากไม่จัดการดังกล่าจึงจะเรียกได้ว่าโจทก์ผิดสัญญา ถึงแม้โจทก์จะเคยไปติดต่อขอให้เทศบาลดำเนินการขับไล่ผู้เช่าที่ดิน เทศบาลเรียกร้องเงินจำนวนหนึ่ง แต่โจทก์เห็นว่าเป็นเงินจำนวนมากเกินไปจึงดำเนินการฟ้องขับไล่ผู้เช่าที่ดินเอง ก็ถือว่าโจทก์ปฏิบัติตามสัญญาแล้ว จำเลยจะยกเหตุที่โจทก์ไม่ชำระเงินแก่เทศบาลมาเป็นเหตุยกเลิกสัญญาไม่ได้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยกับผู้เริ่มก่อการบริษัทโจทก์ได้ทำสัญญากันไว้เมื่อวันที่ ๒ เมษายน ๒๕๐๖ คือ จำเลยตกลงมอบกรรมสิทธิ์ที่ดินของจำเลยให้บริษัทโจทก์ทำการก่อสร้างอาคารตึกแถว ตลาด โรงมหรสพ โรงงานอุตสาหกรรม ในที่เดินเพื่อบริษัทโจทก์จดทะเบียนเสร็จ บริษัทโจทก์กับจำเลยได้รับรองสัญญาดังกล่าวแล้ว ครั้นเมื่อเดินมิถุนายน ๒๕๑๐ จำเลยผิดสัญญาโดยเข้าทำการก่อสร้างอาคารตึกแถวในที่ดินดังกล่าวโจทก์ทำหนังสือแจ้งว่าจำเลยผิดสัญญา จำเลยกลับมีหนังสือตอบบริษัทโจทก์ว่าบริษัทโจทก์เป็นฝ่ายผิดสัญญา ทั้งได้บอกกล่าวเลิกสัญญากับบริษัทโจทก์แล้ว แต่สัญญาดังกล่าวยังมีผลบังคับอยู่ จึงขอให้ศาลพิพากษาบังคับจำเลยรื้อถอนสิ่งก่อสร้างของจำเลยออกไปจากที่ดิน
จำเลยให้การว่า ผู้เริ่มก่อการตั้งบริษัทก็ดี บริษัทโจทก์ก็ดี ได้กระทำผิดสัญญาหลายครั้ง จำเลยได้บอกกล่าวเลิกสัญญาไปช้านานแล้ว สัญญาจึงไม่ผูกพันระหว่างกัน ก่อนทำสัญญานายฮั้งเซ็งผู้เริ่มก่อการบริษัทโจทก์ทราบว่ามีผู้เช่าปลูกอาคารอยู่เป็นจำนวนมาก ซึ่งจะต้องเสียค่าใช้จ่ายในการรื้อถอนหรือฟ้องร้องขับไล่เสียก่อนตามสัญญาข้อ ๓ จึงระบุให้เป็นหน้าที่ของผู้เริ่มก่อการบริษัทโจทก์จะต้องออกค่าใช้จ่ายฝ่ายเดียว โดยจำเลยไม่รับผิดชอบในความเสียหายใด ๆ ทั้งสิ้น เมื่อทำสัญญาพิพาทแล้ว จำเลยโดยความเห็นชอบของนายฮั้งเซ็งได้ร่วมกันติดต่อกับเทศบาลนครกรุงเทพให้ดำเนินการตามกฎหมาย ให้ผู้เช่าที่ดินรื้อถอนอาคารออกไป เพื่อทำการก่อสร้างตามสัญญาเทศบาลนครกรุงเทพอนุมัติและเรียกร้องให้จำเลยนำเงิน ๒๕๐,๐๐๐ บาท ไปมอบให้เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการนั้น จำเลยแจ้งให้นายฮั้งเซ็งนำเงินไปชำระแก่เทศบาลนครกรุงเทพดังที่ตกลงไว้ แต่นายฮั้งเซ็งบิดพลิ้ว นับว่าไม่ปฏิบัติตามสัญญาพิพาท จำเลยจึงทำหนังสือบอกกล่าวให้จัดการไปชำระเงินให้เสร็จภายใน ๗ วัน หากไม่ปฏิบัติก็ให้ถือว่าสัญญาพิพาทเลิกต่อกัน โจทก์ทราบแล้วมิได้ปฏิบัติภายในกำหนดสัญญาจึงหมดความผูกพันระหว่างกัน
ศาลชั้นต้นฟังว่า โจทก์มิได้ปฏิบัติตามสัญญาพิพาท คือ มิได้นำเงินไปชำระให้เทศบาลนครกรุงเทพภายในกำหนด จำเลยใช้สิทธิเลิกสัญญาพิพาทได้โดยชอบ ทำให้สัญญาพิพาทระงับลง พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า การที่บริษัทโจทก์มิได้ชำระเงินแก่เทศบาลนครกรุงเทพ ไม่อาจถือได้ว่าบริษัทโจทก์ไม่ชำระหนี้อันจะเป็นเหตุให้จำเลยบอกเลิกสัญญาได้ ทั้งสัญญาพิพาทก็มิได้ระบุให้เป็นเหตุบอกเลิกสัญญาได้ การบอกเลิกสัญญาของจำเลยไม่ทำให้สัญญาพิพาทระงับลง เมื่อสัญญาพิพาทยังมีผลบังคับอยู่ จำเลยก็ไม่มีสิทธิก่อสร้างสิ่งปลูกสร้างลงในที่ดิน พิพากษากลับให้จำเลยรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างออกไป
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า ตามสัญญาข้อ ๓ นี้ โจทก์ย่อมมีหน้าที่ดำเนินการขับไล่หรือทำอย่างไรให้บรรดาผู้เช่าที่ดินที่จะใช้ก่อสร้างตามสัญญานี้รื้อถอนขนย้ายอาคารบ้านเรือนเก่าออกไปเพื่อสร้างใหม่ โดยโจทก์เป็นผู้เสียหายค่าใช้จ่ายทั้งหมดแต่ผู้เดียว หากโจทก์ไม่จัดการดังกล่าว จึงจะเรียกได้ว่าโจทก์ผิดสัญญา แต่โจทก์ก็ได้เริ่มปฏิบัติตามสัญญาข้อนี้ในทันทีที่ได้จดทะเบียนเป็นนิติบุคคลแล้ว โดยนำเรื่องเงินที่เทศบาลเรียกร้องเข้าเสนอในที่ประชุม กรรมการของบริษัท ที่ประชุมเห็นว่าเป็นเงินจำนวนมากเกินไป และจะดำเนินการขับไล่โดยฟ้องผู้เช่าเอง ซึ่งก็หมายถึงจะปฏิบัติตามสัญญาข้อ ๓ โดยการฟ้องขับไล่ผู้เช่าแล้ว สัญญาข้อนี้มิได้บังคับว่าโจทก์จะต้องกระทำตามโดยให้เทศบาลจัดการขับไล่เท่านั้น การที่โจทก์มิได้ชำระเงินแก่เทศบาลนครกรุงเทพ นั้น ถือไม่ได้ว่าโจทก์ไม่ชำระหนี้อันจะเป็นเหตุให้จำเลยบอกเลิกสัญญาได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๓๘๗ ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน