คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 208/2512

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์เป็นน้องชายเจ้ามรดก โจทก์ย่อมเป็นทายาทโดยธรรมตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1629 แต่โจทก์ไม่มีสิทธิรับมรดกในเมื่อยังมีทายาทโดยธรรมในลำดับก่อนตนยังมีชีวิตอยู่ตาม มาตรา 1630 และทั้งนี้ต้องต่อเมื่อเจ้ามรดกมิได้ทำพินัยกรรมยกทรัพย์มรดกให้โจทก์
โจทก์ที่ 3 เป็นบุตรเจ้ามรดก และโจทก์ที่ 1, 2เป็นน้องชายเจ้ามรดกซึ่งมิได้ทำพินัยกรรมไว้ การที่จำเลยสมคบกันปลอมพินัยกรรมขึ้นว่าเจ้ามรดกยกทรัพย์ให้จำเลยที่4 ผู้เดียว ย่อมทำให้โจทก์ที่ 3 เสียหาย แต่ไม่ทำให้โจทก์ที่ 1, 2 ผู้เป็นน้องชายเจ้ามรดกเสียหายด้วยเพราะจำเลยจะปลอมหรือไม่ปลอม โจทก์ที่ 1, 2 ก็ไม่มีสิทธิรับมรดกอยู่แล้ว และฟ้องมิได้บรรยายว่าเจ้ามรดกตั้งใจทำพินัยกรรมยกทรัพย์ให้โจทก์ที่ 1, 2 ด้วยแล้วจำเลยปลอมพินัยกรรมขึ้นเป็นอย่างอื่น โจทก์ที่ 1, 2 จึงมิใช่ผู้เสียหายที่จะฟ้องคดีอาญาฐานปลอมพินัยกรรม ตลอดถึงข้อหาฐานเบิกความเท็จเรื่องพินัยกรรมปลอมนี้ได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ ๑, ๒, ๔, ๕, ๖ ได้สมคบกันปลอมพินัยกรรมของนางลุ้ย สัมมาพล ระบุทรัพย์ให้จำเลยที่ ๔ การกระทำของจำเลยเป็นเหตุให้โจทก์เสียหายเพราะโจทก์ที่ ๑, ๒ เป็นน้องชายนางลุ้ยและโจทก์ที่ ๓ เป็นทายาทผู้รับมรดกนางลุ้ย ต่อมาจำเลยที่ ๓, ๔ได้สมคบกันนำพินัยกรรมปลอมดังกล่าวมาแสดงต่อศาลในการพิจารณาคดีเพื่อให้ศาลหลงเชื่อว่าเป็นพินัยกรรมที่แท้จริง และจำเลยที่ ๑, ๔, ๕ ได้นำความซึ่งรู้อยู่แล้วว่าเป็นความเท็จและเป็นข้อสำคัญในคดีมาเบิกความต่อศาลในการพิจารณาคดีดังกล่าวว่านางลุ้ยได้ทำพินัยกรรมฉบับนั้นขึ้น การกระทำของจำเลยทำให้โจทก์เสียหาย ถ้าศาลหลงเชื่อว่าเป็นพินัยกรรมที่แท้จิรง โจทก์จะไม่ได้รับมรดกของนางลุ้ยเลยขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๘๓, ๒๖๔, ๒๖๖, ๒๖๘,๒๖๙, ๑๗๗, ๑๘๐
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้อง คดีมีมูลหมายเรียกจำเลยมาแก้คดี
จำเลยให้การปฏิเสธ
ภายหลังสืบโจทก์ที่ ๑, ๒ แล้ว จำเลยที่ ๑ ขอให้ศาลชี้ขาดเบื้องต้นว่าโจทก์ที่ ๓ เป็นบุตรเจ้ามรดก โจทก์ที่ ๑, ๒ ย่อมถูกตัดมิให้รับมรดก โจทก์ที่ ๑, ๒ จึงมิใช่ผู้เสียหายที่จะฟ้องคดีนี้
ศาลชั้นต้นสั่งว่า โจทก์ที่ ๑, ๒ มิใช่ผู้เสียหาย ไม่มีอำนาจฟ้อง ให้ยกฟ้องของโจทก์ที่ ๑, ๒ คงดำเนินกระบวนพิจารณาต่อไปเฉพาะฟ้องของโจทก์ที่ ๓
โจทก์ที่ ๑, ๒ อุทธรณ์ว่าเป็นผู้เสียหายด้วย เพราะเป็นผู้จัดการมรดกของผู้ตาย และเป็นผู้รับทรัพย์มรดกด้วยตามหนังสือสัญญาแบ่งทรัพย์มรดก ซึ่งโจทก์ทั้งสามกับจำเลยที่ ๓, ๔ ได้ลงชื่อยอมแบ่งไว้
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ที่ ๑, ๒ ฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า ข้อที่โจทก์ฎีกาว่าโจทก์ที่ ๑, ๒ เป็นผู้เสียหายเพราะเป็นผู้จัดการมรดกด้วยนั้น ฟ้องโจทก์มิได้บรรยายเช่นนั้น ส่วนข้อที่ว่าเป็นผู้รับทรัพย์มรดกตามสัญญาแบ่งทรัพย์มรดกระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๓, ๔ นั้น ฟ้องก็มิได้บรรยายเช่นเดียวกันและเป็นเรื่องที่โจทก์ที่ ๑, ๒ จะใช้สิทธิเรียกร้องเอาจากคู่สัญญาต่อไป ศาลอุทธรณ์พิพากษาใน ๒ ข้อนี้ชอบแล้ว
แต่ข้อที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาว่า โจทก์ที่ ๑, ๒ มิใช่ทายาทโดยธรรมของเจ้ามรดกนั้น ไม่ถูกต้อง ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา ๑๖๒๙ ซึ่งบัญญัติว่า ทายาทโดยธรรมมี ๖ อันดับ เมื่อโจทก์ที่ ๑, ๒ เป็นน้องชายของเจ้ามรดก โจทก์ที่ ๑, ๒ ย่อมเป็นทายาทโดยธรรมในลำดับที่ ๓ หรือที่ ๔ แล้วแต่กรณี เพียงแต่ว่าโจทก์ที่ ๑, ๒ จะไม่มีสิทธิรับมรดกในเมื่อยังมีทายาทโดยธรรมในลำดับก่อนตนยังมีชีวิตอยู่ตามมาตรา ๑๖๓๐ เท่านั้น และทั้งนี้ต้องต่อเมื่อเจ้ามรดกมิได้ทำพินัยกรรมยกทรัพย์มรดกให้โจทก์ที่ ๑, ๒ ด้วย
เมื่อฟ้องโจทก์บรรยายว่าโจทก์ที่ ๓ เป็นบุตรนางลุ้ย สัมมาพลเจ้ามรดก และโจทก์ที่ ๑, ๒ เป็นน้องชายเจ้ามรดกซึ่งมิได้ทำพินัยกรรมไว้เลยแล้วการที่จำเลยสมคบกันปลอมพินัยกรรมขึ้นว่า เจ้ามรดกยกทรัพย์ให้จำเลยที่ ๔ ผู้เดียวตามฟ้อง ย่อมทำให้โจทก์ที่ ๓ผู้เป็นบุตรเจ้ามรดกเสียหาย แต่ไม่ทำให้โจทก์ที่ ๑, ๒ ผู้เป็นน้องชายเจ้ามรดกเสียหายด้วย เพราะจำเลยจะปลอมหรือไม่ปลอมพินัยกรรมโจทก์ที่ ๑, ๒ ก็ไม่มีสิทธิรับมรดกของนางลุ้ยอยู่แล้ว และฟ้องมิได้บรรยายว่านางลุ้ยตั้งใจทำพินัยกรรมยกทรัพย์ให้โจทก์ที่ ๑, ๒ด้วยแล้วจำเลยปลอมพินัยกรรมขึ้นเป็นอย่างอื่น โจทก์ที่ ๑, ๒จึงมิใช่ผู้เสียหายที่จะฟ้องคดีอาญาฐานปลอมพินัยกรรม ตลอดถึงข้อหาฐานเบิกความเท็จเรื่องพินัยกรรมปลอมนี้ได้ ผลแห่งคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ชอบแล้ว ฎีกาโจทก์ที่ ๑, ๒ ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน ยกฎีกาโจทก์.

Share