คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2014/2537

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

จำเลยได้เบิกเงินเกินบัญชีเงินฝากกระแสรายวันซึ่งจำเลยเปิดบัญชีไว้กับโจทก์เมื่อวันที่ 14 เมษายน 2519 โจทก์ได้หักทอนบัญชีของจำเลยและบอกเลิกสัญญากับจำเลยเมื่อวันที่ 26 ธันวาคม 2523นับแต่วันที่โจทก์หักทอนบัญชีถึงวันที่ 25 สิงหาคม 2531 ซึ่งเป็นวันฟ้อง สิทธิเรียกร้องของโจทก์ตามสัญญาบัญชีเดินสะพัดยังไม่เกิน10 ปี ฟ้องโจทก์ไม่ขาดอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 164 จำเลยให้การเพียงว่าโจทก์เรียกดอกเบี้ยเกิน 10 ปีโดยไม่มีสิทธิ และไม่มีรายละเอียดอื่นใด จึงเป็นการให้การลอย ๆไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 177 วรรคสองโจทก์จึงมีสิทธิคิดดอกเบี้ยได้ตามฟ้อง

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 14 เมษายน 2519 จำเลยเปิดบัญชีเดินสะพัดประเภทบัญชีเงินฝากกระแสรายวันกับโจทก์ สาขาพัทยาเลขที่ 803 โดยตกลงว่าถ้าจำเลยเบิกเงินไปเกินกว่าเงินในบัญชีจำเลยยอมผูกพันโดยถือเสมือนว่าจำเลยเป็นหนี้เบิกเงินบัญชีและยอมให้โจทก์คิดดอกเบี้ยทบต้นได้ตามประเพณีการค้าของธนาคารพาณิชย์ในขณะที่จำเลยเปิดบัญชี ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนดให้ธนาคารพาณิชย์เรียกดอกเบี้ยได้ไม่เกินร้อยละ 15 ต่อปี ต่อมาวันที่ 15 มกราคม 2523วันที่ 1 กรกฎาคม 2524 และวันที่ 3 มีนาคม 2529 ธนาคารแห่งประเทศไทยประกาศให้เรียกดอกเบี้ยได้ไม่เกินร้อยละ 18, 19 และ 15 ต่อปีตามลำดับ และจำเลยตกลงยินยอมให้โจทก์เรียกดอกเบี้ยได้ในอัตราดังกล่าว จำเลยได้เดินสะพัดทางบัญชีมาจนถึงวันที่ 26 ธันวาคม 2523โจทก์หักทอนบัญชีและบอกเลิกสัญญากับจำเลย จำเลยเป็นหนี้โจทก์อยู่ 58,374.79 บาท หลังจากนั้นจำเลยไม่ชำระหนี้แก่โจทก์ จำเลยต้องรับผิดชำระดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี นับแต่วันที่27 ธันวาคม 2523 ถึงวันฟ้องเป็นเวลา 7 ปี 7 เดือน 29 วันคิดเป็นดอกเบี้ย 67,242.89 บาท รวมต้นเงินและดอกเบี้ยถึงวันฟ้องเป็นเงิน 125,617.68 บาท ขอให้บังคับจำเลยชำระเงินแก่โจทก์จำนวน 125,617.68 บาท และดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ของต้นเงินจำนวน 58,364.79 บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยให้การว่า เมื่อปี 2519 จำเลยได้เปิดบัญชีเงินฝากกระแสรายวันไว้กับโจทก์ จำเลยนำเงินเข้าบัญชีและถอนออกรวมหลายครั้งเป็นเงินหลายแสนบาท มีเงินเหลือในบัญชีเพียงเล็กน้อยจำเลยเลิกใช้บัญชีโดยไม่ได้ติดต่อกับโจทก์ตั้งแต่ปี 2519จำเลยไม่ได้รับแจ้งรายการยอดค้างบัญชีจากโจทก์ เข้าใจว่าโจทก์ปิดบัญชีของจำเลยแล้ว โจทก์ปล่อยให้บัญชีของจำเลยค้างและคิดดอกเบี้ยเกินกว่า 10 ปี เป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริตสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีของโจทก์และจำเลยเกินกว่า 10 ปีขาดอายุความ ยอดเงินตามฟ้องเป็นดอกเบี้ยเกือบทั้งสิ้นจำเลยไม่ได้ตกลงเรื่องดอกเบี้ยตามฟ้อง แม้ธนาคารแห่งประเทศไทยจะให้อำนาจโจทก์เรียกอย่างไร โจทก์ไม่เคยเรียกจำเลยให้เพิ่มเติมแก้ไขสัญญาดอกเบี้ยเกินกว่า 10 ปีโจทก์จึงเรียกไม่ได้ จำเลยไม่รู้การหักทอนบัญชีของโจทก์เกิน 10 ปีแล้ว และไม่เคยได้รับการบอกกล่าวทวงถามให้ชำระหนี้จากโจทก์ โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงินจำนวน 58,374.79 บาทพร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี นับแต่วันที่ 27 ธันวาคม 2523เป็นเวลา 5 ปี
โจทก์และจำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยชำระดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ในต้นเงิน 58,374.79 บาท นับแต่วันที่ 27ธันวาคม 2523 เป็นต้นไป จนกว่าชำระเสร็จแก่โจทก์ แต่ดอกเบี้ยก่อนวันฟ้องต้องไม่เกิน 67,242.89 บาท นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงฟังได้ในเบื้องต้นว่าเมื่อวันที่ 14 เมษายน 2519 จำเลยได้เปิดบัญชีเงินฝากกระแสรายวันกับโจทก์ สาขาพัทยา บัญชีเลขที่ 803 ตามคำขอเปิดบัญชีเอกสารหมาย จ.5 และมีการเดินสะพัดทางบัญชี ปรากฎตามการ์ดบัญชีเอกสารหมาย จ.2 มีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยข้อแรกว่าโจทก์ฟ้องคดีเป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริต เนื่องจากจำเลยไม่เคยได้รับแจ้งรายการยอดหนี้ค้างบัญชีจากโจทก์กว่า 10 ปี จำเลยเข้าใจว่าโจทก์ปิดบัญชีของจำเลยแล้ว เห็นว่า การที่จำเลยอ้างว่าไม่ได้รับแจ้งยอดหนี้จากโจทก์เป็นปัญหาข้อเท็จจริง ซึ่งต้องห้ามฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้ในข้อนี้ สำหรับที่จำเลยฎีกาต่อไปว่า คดีโจทก์ขาดอายุความเพราะโจทก์นำคดีมาฟ้องเมื่อพ้นกำหนด 10 ปี นับแต่วันที่จำเลยตกลงทำสัญญาบัญชีเดินสะพัดกับโจทก์ หรือนับแต่วันที่จำเลยเบิกเงินเกินบัญชีครั้งสุดท้ายนั้น เห็นว่าจำเลยได้เบิกเงินเกินบัญชีในบัญชีเงินฝากกระแสรายวันซึ่งจำเลยเปิดบัญชีไว้กับโจทก์สาขาพัทยา เมื่อวันที่ 14 เมษายน 2519 โจทก์ได้หักทอนบัญชีของจำเลยเมื่อวันที่ 26 ธันวาคม 2523 จำเลยเป็นหนี้โจทก์เป็นเงิน58,374.79 บาท นับแต่วันที่โจทก์หักทอนบัญชีถึงวันที่ 25 สิงหาคม2531 ซึ่งเป็นวันฟ้องคดีนี้ สิทธิเรียกร้องของโจทก์ตามบัญชีเดินสะพัดยังไม่เกิน 10 ปี ฟ้องโจทก์จึงไม่ขาดอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 164 ฎีกาข้อนี้ของจำเลยฟังไม่ขึ้น ส่วนที่จำเลยฎีกาข้อสุดท้ายว่าโจทก์ไม่มีสิทธิคิดดอกเบี้ยจากจำเลยตามฟ้องนั้น เห็นว่าจำเลยให้การเพียงว่าโจทก์เรียกดอกเบี้ยเกิน 10 ปี โดยไม่มีสิทธิ และไม่มีรายละเอียดอื่นใดจึงเป็นการให้การลอย ๆ ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 177 วรรคสอง ที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าโจทก์มีสิทธิคิดดอกเบี้ยได้ตามฟ้องจึงชอบแล้ว”
พิพากษายืน

Share