คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2010/2525

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การที่จำเลยที่ 1 โอนขายที่พิพาทให้แก่จำเลยที่ 2และ ที่ 3โดยไม่โอนขายให้โจทก์ก่อนตามข้อตกลงในสัญญาประนีประนอมยอมความ ย่อมเป็นการทำนิติกรรมทั้งที่รู้อยู่ว่าเป็นทางให้โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้เสียเปรียบ เมื่อจำเลยที่ 2 และที่ 3 รู้เท่าถึงข้อความจริงอันเป็นทางให้โจทก์เสียเปรียบนั้นด้วย โจทก์ย่อมมีสิทธิร้องขอให้เพิกถอนนิติกรรมซื้อขายที่พิพาทระหว่างจำเลยที่ 1 กับจำเลยที่ 2 และที่ 3 ได้ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 237 และขอให้บังคับจำเลยที่ 1 โอนขายที่พิพาทให้แก่โจทก์ได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เช่าที่ดินพิพาทจากบิดาของจำเลยที่ 1 เพื่อทำนาติดต่อกันมาประมาณ 30 ปี เมื่อบิดาจำเลยตายจำเลยที่ 1 เป็นผู้รับมรดกต่อมาเมื่อปี พ.ศ. 2521 โจทก์ทราบว่าจำเลยที่ 1 จะขายที่ดินดังกล่าวให้ผู้อื่นโจทก์ประสงค์จะเช่าต่อไปหรือถ้าจำเลยที่ 1 จะขายโจทก์ก็จะซื้อ โจทก์จึงได้ร้องต่อนายอำเภอเมืองอุทัยธานีแล้วโจทก์กับจำเลยที่ 1 ได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความต่อหน้านายอำเภอว่าจำเลยที่ 1 จะทำนาเองและโจทก์ยินดีเลิกการเช่า หากจำเลยที่ 1 จะขายที่ดินดังกล่าวต้องขายให้โจทก์ก่อนในราคาเท่ากับที่จะขายให้คนอื่นโดยแจ้งให้โจทก์ตอบรับซื้อภายใน 30 วันถ้าโจทก์ไม่ซื้อจะขายให้ผู้อื่นได้ หลังจากนั้นจำเลยที่ 1 ได้โอนขายที่ดินดังกล่าวให้จำเลยที่ 2 และที่ 3 ซึ่งเป็นสามีภริยากันโดยไม่สุจริต และไม่แจ้งให้โจทก์มีโอกาสซื้อก่อนทั้ง ๆ ที่โจทก์พร้อมจะซื้อ จำเลยที่ 2 ที่ 3 รู้อยู่แล้วว่าโจทก์เช่าทำนาในที่ดินแปลงนี้มาก่อน การกระทำของจำเลยทั้งสามทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายคิดเป็นเงิน 10,000 บาท ก่อนฟ้องโจทก์ได้บอกกล่าวให้จำเลยเพิกถอนนิติกรรมระหว่างจำเลย และทำนิติกรรมขายที่พิพาทให้แก่โจทก์ในราคาเท่ากับที่จำเลยที่ 1 ขายให้แก่จำเลยที่ 2 และที่ 3 แต่จำเลยเพิกเฉย ขอให้เพิกถอนนิติกรรมการขายที่ดินดังกล่าวระหว่างจำเลย แล้วให้จำเลยที่ 1 โอนขายให้โจทก์ในราคาเท่ากับที่ขายให้แก่จำเลยที่ 2 และที่ 3 หากไม่ปฏิบัติให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนา

จำเลยทั้งสามให้การว่า โจทก์เคยเช่านาพิพาทจริงแต่โจทก์ตกลงเลิกเช่าแล้ว หลังจากนั้นจำเลยที่ 1 ได้เข้าทำนาเอง และขายให้แก่จำเลยที่ 2และที่ 3 ในเวลาต่อมา โดยก่อนขายได้แจ้งให้โจทก์ทราบด้วยวาจาและเป็นหนังสือว่าจำเลยที่ 1 จะขายที่ดินพิพาทแก่ผู้อื่นในราคา 120,000 บาท ให้โจทก์ตอบรับภายใน 30 วันตามข้อตกลง แต่โจทก์ไม่ซื้อเพราะไม่มีเงินจำเลยที่ 1 จึงขายให้จำเลยที่ 2 และที่ 3 ตามราคาที่บอกขายโจทก์อันเป็นการกระทำโดยสุจริตและถูกต้องตามสัญญาประนีประนอมยอมความจำเลยที่ 2 และที่ 3 รับซื้อที่ดินจากจำเลยที่ 1 โดยสุจริต ขณะที่จำเลยที่ 2และที่ 3 ซื้อที่ดินรายพิพาท โจทก์มิได้เป็นผู้เช่านาจากจำเลยที่ 1

ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า จำเลยที่ 1 จดทะเบียนโอนขายที่ดินพิพาทให้แก่จำเลยที่ 2 โดยไม่บอกขายที่พิพาทให้โจทก์ก่อนเป็นการกระทำโดยไม่สุจริต ผิดสัญญาประนีประนอมยอมความ จำเลยที่ 2 และที่ 3 ได้รู้หรือควรจะได้รู้ถึงสิทธิของโจทก์อยู่ก่อนแล้วแต่สมรู้กับจำเลยที่ 1 ฉ้อฉลโจทก์โจทก์ไม่ได้รับความเสียหายตามฟ้อง พิพากษาให้เพิกถอนนิติกรรมซื้อขายที่ดินรายพิพาทระหว่างจำเลยที่ 1 กับจำเลยที่ 2 และที่ 3 แล้วให้จำเลยที่ 1 โอนขายแก่โจทก์ในราคาเท่ากับที่ขายให้จำเลยที่ 2 และที่ 3 หากจำเลยที่ 1 ไม่สามารถจัดการได้ให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนา คำขอของโจทก์เกี่ยวกับค่าเสียหายให้ยก

จำเลยทั้งสามอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

จำเลยทั้งสามฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายว่า ตามสัญญาประนีประนอมยอมความระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 เมื่อจำเลยที่ 1 ประสงค์จะขายที่ดินพิพาทก็มีหน้าที่ที่จะต้องขายให้โจทก์ก่อน โดยแจ้งให้โจทก์ตอบรับซื้อภายใน 30 วัน ต่อเมื่อโจทก์ไม่ซื้อจำเลยที่ 1 จึงจะมีสิทธิขายให้แก่บุคคลอื่นได้ ดังนั้นเมื่อจำเลยที่ 1 ยังไม่ได้บอกขายที่รายพิพาทให้แก่โจทก์ตามสัญญา จำเลยที่ 1 ย่อมมีหน้าที่ที่จะต้องงดเว้นไม่ขายที่รายพิพาทให้แก่จำเลยที่ 2 และที่ 3 และศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงต่อไปว่า จำเลยที่ 2 และที่ 3 ทราบดีว่าที่ดินพิพาทที่จำเลยที่ 2 และที่ 3 ซื้อจากจำเลยที่ 1 โจทก์เคยเช่าทำนามาก่อนและโจทก์ยอมเลิกการเช่าที่พิพาทกับจำเลยที่ 1 เพราะได้มีการทำสัญญาประนีประนอมยอมความกัน ดังนั้นการที่จำเลยที่ 1 โอนขายให้แก่จำเลยที่ 2 และที่ 3 โดยไม่ปฏิบัติตามสัญญาประนีประนอมยอมความที่ทำไว้ ย่อมเป็นการทำนิติกรรมทั้งที่รู้อยู่ว่าเป็นทางให้โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้เสียเปรียบเมื่อจำเลยที่ 2 และที่ 3 รู้เท่าถึงข้อความจริงอันเป็นทางให้โจทก์ต้องเสียเปรียบนั้นด้วย โจทก์ย่อมมีสิทธิร้องขอให้เพิกถอนนิติกรรมซื้อขายที่พิพาทระหว่างจำเลยที่ 1กับจำเลยที่ 2 และที่ 3 ได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 237และเมื่อโจทก์ได้แสดงเจตนาที่จะรับซื้อที่พิพาทจากจำเลยที่ 1 ในราคาเท่ากับที่จำเลยที่ 1 ขายให้แก่จำเลยที่ 2 และที่ 3 อันเป็นการใช้สิทธิตามสัญญาแล้วโจทก์ย่อมมีสิทธิขอให้บังคับจำเลยที่ 1 โอนขายที่พิพาทให้แก่โจทก์ได้

พิพากษายืน

Share