แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์เป็นสมาชิกสหกรณ์และเป็นประธานกรรมการจัดซื้อที่ดินเพื่อสหกรณ์โดยมีสมาชิกเป็นกรรมการอีก 11 คน จำเลยที่ 1เป็นสมาชิกสหกรณ์ และเป็นนักข่าวหนังสือพิมพ์จำเลยที่ 2 เป็นบรรณาธิการหนังสือพิมพ์ จำเลยทั้งสองได้แจ้งข่าวและพิมพ์โฆษณาในหนังสือพิมพ์ว่า “ได้มีเจ้าของที่ดินแปลงใกล้เคียงเสนอขายสหกรณ์ในราคาถูกกว่านี้ แต่กรรมการไม่ยอมรับซื้อกลับไปซื้อที่ดินราคา 7 หมื่นบาท ซึ่งแพงกว่าแปลงอื่น ๆ มากการซื้อขายที่ดินแปลงนี้ เจ้าของที่ดินได้รับเงินจริง ๆ ไปเพียง 4 หมื่นบาทเท่านั้น ส่วนอีก 3 หมื่นไม่รู้ว่าตกอยู่ในมือใครขณะนี้สมาชิกกำลังแยกย้ายกันหาหลักฐานการทุจริตครั้งนี้เพื่อเตรียมดำเนินการตามกฎหมายต่อไป” ดังนี้เป็นข้อความที่ทำให้เข้าใจได้ว่า กรรมการผู้จัดซื้อที่ดินให้สหกรณ์ทุกคนหรือคนใดคนหนึ่งรวมทั้งโจทก์ด้วย ซึ่งยังไม่ทราบแน่ชัดว่าเป็นผู้ใด ทุจริตในการซื้อขายที่ดินนั้น แต่จำเลยทั้งสองให้ข่าวและพิมพ์โฆษณาข้อความดังกล่าวเพราะมีพฤติการณ์น่าเชื่อว่าโจทก์ซื้อที่ดินแพงกว่าปกติส่อไปในทางทุจริตถือได้ว่าเป็นการกระทำโดยสุจริตเพื่อความชอบธรรม จำเลยทั้งสองจึงไม่มีความผิดฐานหมิ่นประมาทตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 329 (1) และไม่เป็นการละเมิด ที่โจทก์จะขอให้ศาลบังคับจำเลยชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้ได้ โดยเฉพาะจำเลยที่ 1 ในฐานะที่เป็นสมาชิกสหกรณ์ซึ่งจะต้องเสียเงินเพิ่มขึ้นเนื่องจากการซื้อที่ดินแพงกว่าปกติ ย่อมถือได้ว่าเป็นการป้องกันส่วนได้เสียเกี่ยวกับตนตามคลองธรรมอีกด้วย
ในคดีอาญา จำเลยมีอำนาจนำพยานเข้าสืบพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของจำเลย โดยไม่จำต้องซักค้านพยานโจทก์ในข้อเท็จจริง ที่จำเลยจะนำสืบพยานต่อไปได้ (อ้างฎีกาที่ 2823,2824/2516)
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นประธานกรรมการจัดซื้อที่ดินเพื่อปลูกสร้างที่ทำการสหกรณ์การเกษตรคลองขลุง จำเลยที่ ๑ เป็นสมาชิกสหกรณ์จำเลยที่ ๒ เป็นบรรณาธิการและผู้พิมพ์โฆษณาหนังสือพิมพ์เพื่อนประชาชนจำเลยทั้งสองได้ร่วมกันใส่ความหมิ่นประมาทโจทก์โดยแจ้งข่าวพิมพ์โฆษณาแพร่หลายในหนังสือพิมพ์ว่า “ได้มีเจ้าของที่ดินแปลงใกล้เคียงเสนอขายสหกรณ์ในราคาถูกกว่านี้ แต่กรรมการไม่ยอมรับซื้อ กลับไปซื้อที่ดินราคา ๗ หมื่น ซึ่งแพงกว่าแปลงอื่น ๆ มาก การซื้อขายที่ดินแปลงนี้ เจ้าของที่ดินได้รับเงินจริง ๆ ไปเพียง ๔ หมื่นบาทเท่านั้น ส่วนอีก ๓ หมื่นบาทไม่รู้ว่าตกอยู่ในมือใครขณะนี้สมาชิกกำลังแยกย้ายกันหาหลักฐานการทุจริตครั้งนี้เพื่อเตรียมดำเนินการตามกฎหมายต่อไป” ข้อความดังกล่าวเป็นความเท็จและเป็นการเสียหายแก่ชื่อเสียงเกียรติคุณของโจทก์ ขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๘๓, ๓๒๖, ๓๒๘ และให้จำเลยร่วมกันใช้ค่าสินไหมทดแทน ๓๐,๐๐๐ บาทแก่โจทก์
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้วสั่งประทับฟ้อง
จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามฟ้อง ให้จำคุกจำเลยที่ ๑ กำหนด ๒ เดือน จำคุกจำเลยที่ ๒ กำหนด ๑ เดือน และปรับ ๑,๐๐๐ บาท โทษจำคุกสำหรับจำเลยที่ ๒ ให้รอไว้ ๑ ปี ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้ค่าสินไหมทดแทนให้โจทก์ ๓,๐๐๐ บาท
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า จำเลยเข้าใจว่าโจทก์ซื้อที่ดินโดยไม่สุจริตซึ่งไม่ใช่เรื่องใส่ความกันเป็นส่วนตัว หากแต่เป็นกิจการและความคิดเห็นโดยสุจริต เพื่อป้องกันส่วนได้เสียของตนในฐานะเป็นสมาชิกสหกรณ์การเกษตรอยู่ด้วย จึงไม่เป็นหมิ่นประมาท และไม่ละเมิดต่อโจทก์พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า โจทก์เป็นสมาชิกสหกรณ์และเป็นประธานกรรมการจัดซื้อที่ดินเพื่อตั้งสำนักงานและยุ้งฉางของสหกรณ์ โดยมีสมาชิกเป็นกรรมการอีก ๑๑ คน คณะกรรมการได้ตกลงซื้อที่ดินของนางเจริญในราคา ๗๐,๐๐๐ บาท จำเลยที่ ๑ เป็นสมาชิกสหกรณ์การเกษตร และเป็นนักข่าวหนังสือพิมพ์เพื่อประชาชน จำเลยที่ ๒ เป็นบรรณาธิการหนังสือพิมพ์ฉบับนั้น จำเลยทั้งสองได้แจ้งข่าวและพิมพ์โฆษณาในหนังสือพิมพ์มีข้อความตอนหนึ่งดังกล่าวในฟ้อง ศาลฎีกาเห็นว่า ข้อความที่พิมพ์โฆษณาทำให้เข้าใจได้ว่ากรรมการจัดซื้อที่ดินให้สหกรณ์ทุกคนหรือคนใดคนหนึ่งรวมทั้งโจทก์ด้วย ซึ่งยังไม่ทราบแน่ชัดว่าเป็นผู้ใดทุจริตในการซื้อที่ดินนั้น โดยชำระค่าที่ดินให้ผู้ขายเพียงสี่หมื่นบาททำหลักฐานการรับเงินไว้เจ็ดหมื่นบาท และนำเงินอีกสามหมื่นบาทไปเป็นประโยชน์ส่วนตัว แต่ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยที่ ๑ ได้สอบถามเจ้าพนักงานที่ดินอำเภอถึงราคาประเมินเพื่อเสียภาษีที่ดินบริเวณที่สหกรณ์ซื้อเห็นว่า สหกรณ์ซื้อแพงกว่าราคาปกติมาก จึงได้ไปพบโจทก์เพื่อหาทางยับยั้งไม่ให้ซื้อ เมื่อไม่สำเร็จจึงไปพบจำเลยที่ ๒ ขอให้ลงข่าวในหนังสือพิมพ์ซึ่งจำเลยที่ ๒ ก็ลงพิมพ์ข่าวให้ เพราะเห็นว่ามีพฤติการณ์ส่อไปในทางทุจริตประกอบกับจำเลยที่ ๑ ได้ทราบจากนางกิมฮวยหลานของนางเจริญผู้ขายที่ดินให้สหกรณ์ว่าที่ดินขายเพียงสี่หมื่นบาทการลงข่าวตามฟ้องจึงเป็นไปตามข้อเท็จจริงที่ทราบมา จำเลยทั้งสองกับโจทก์ไม่เคยมีสาเหตุโกรธเคืองกันแสดงให้เห็นถึงความสุจริตของจำเลยทั้งสองในการให้ข่าวหรือข้อความนั้นเพื่อความชอบธรรม โดยเฉพาะจำเลยที่ ๑ ถือได้ว่าเป็นการป้องกันส่วนได้เสียเกี่ยวกับตนตามคลองธรรมในฐานะที่เป็นสมาชิกสหกรณ์ซึ่งจะต้องเสียเงินเพิ่มขึ้นเนื่องจากการซื้อที่ดินแพงกว่าปกติ จำเลยทั้งสองจึงไม่มีความผิดฐานหมิ่นประมาทตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๒๙(๑) และไม่เป็นการละเมิดต่อโจทก์ที่จะขอให้ศาลบังคับจำเลยชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้ได้
ข้อที่โจทก์ฎีกาว่า จำเลยมิได้ซักค้านนางเจริญพยานโจทก์ในประเด็นที่ว่านางเจริญเคยเล่าให้นางกิมฮวยฟังว่า ขายที่ดินแปลงนี้ในราคา ๔๐,๐๐๐ บาท แต่กรรมการทำหลักฐานการซื้อขายเป็น ๗๐,๐๐๐ บาทจึงรับฟังไม่ได้นั้น เห็นว่า ในคดีอาญาจำเลยมีอำนาจนำพยานเข้าสืบพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของจำเลยโดยไม่จำต้องซักค้านพยานโจทก์ในข้อเท็จจริงที่จำเลยจะนำสืบพยานต่อไปได้ ตามนัยคำพิพากษาฎีกาที่ ๒๘๒๓,๒๘๒๔/๒๕๑๖ ฎีกาโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน