แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ผลประโยชน์ร่วมกันในมูลความแห่งคดีตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 59 หมายความว่า ต้องมีส่วนได้เสียร่วมกันในมูลเหตุอันเป็นรากฐานแห่งคดีนั้น โดยถือหนี้อันเป็นมูลของคดีนั้นเป็นสาระสำคัญ โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยบุกรุกที่ดินของโจทก์ทั้งสองบางส่วนทางด้านทิศเหนือเป็นผืนติดต่อกันในเวลาเดียวกันเพื่อแย่งสิทธิครอบครองเป็นของตน โจทก์ทั้งสองย่อมมีส่วนได้เสียในมูลเหตุอันเป็นรากฐานแห่งคดีนั้นแล้ว แม้ที่ดินที่ถูกบุกรุกจะมีหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3ก.)คนละฉบับ และเป็นที่ดินต่างแปลงกันก็ตาม ก็เป็นเรื่องหลักฐานทางทะเบียนเท่านั้น กรณีดังกล่าวถือได้ว่า โจทก์ทั้งสองมีส่วนได้เสียร่วมกันในมูลความแห่งคดี จึงชอบที่จะเป็นโจทก์ร่วมฟ้องจำเลยรวมกันมาในคดีเดียวกันได้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ที่ 1 เป็นเจ้าของที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3ก.) เลขที่ 1703 ส่วนโจทก์ที่ 2 เป็นเจ้าของที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3ก.) เลขที่ 1715ที่ดินของโจทก์ที่ 1 และที่ 2 มีอาณาเขตทางทิศเหนือจดเป็นแนวเดียวกัน ทางด้านทิศตะวันออกและทิศตะวันตกติดต่อซึ่งกันและกันเมื่อประมาณเดือนมกราคม 2533 จำเลยได้บุกรุกเข้าไปเก็บมะม่วงในที่ดินของโจทก์ที่ 1 ซึ่งปลูกไว้ในที่ดินด้านทิศเหนือ และจำเลยได้บุกรุกเข้าไปในที่ดินของโจทก์ที่ 2 เพื่อเก็บมะม่วงซึ่งปลูกอยู่ในที่ดินของโจทก์ที่ 2 ทางด้านทิศเหนือซึ่งมีอาณาเขตติดต่อกับที่ดินของโจทก์ที่ 1 โจทก์ที่ 1 และที่ 2 ได้ห้ามปรามจำเลย แต่จำเลยไม่เชื่อฟัง การกระทำของจำเลยเป็นการโต้แย้งสิทธิของโจทก์ที่ 1และที่ 2 ซึ่งมีผลประโยชน์ร่วมกันในมูลคดี ทำให้โจทก์ทั้งสองได้รับความเสียหาย ขอให้ศาลพิพากษาว่าโจทก์ทั้งสองมีสิทธิในที่ดินพิพาทขับไล่จำเลย ห้ามจำเลยและบริวารเข้าเกี่ยวข้องต่อไป
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า ตามคำฟ้องของโจทก์เป็นกรณีไม่มีข้อโต้แย้งสิทธิและไม่มีเหตุที่จะใช้สิทธิทางศาลได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 55 ให้ยกฟ้องโจทก์
โจทก์ทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 วินิจฉัยว่า จำเลยบุกรุกเข้าไปในที่ดินพิพาท ถือได้ว่า มีข้อโต้แย้งสิทธิเกิดขึ้น โจทก์ทั้งสองย่อมมีอำนาจฟ้อง แต่โจทก์ทั้งสองต่างเป็นเจ้าของที่ดินพิพาทคนละแปลงถือไม่ได้ว่ามีผลประโยชน์ร่วมกันในมูลความแห่งคดีที่จะร่วมเป็นโจทก์ฟ้องรวมกันมาได้ จึงเป็นคำฟ้องที่ไม่ชอบ พิพากษาแก้เป็นว่า ไม่รับคำฟ้อง
โจทก์ทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า มีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ทั้งสองว่าโจทก์ทั้งสองจะฟ้องจำเลยรวมมาในคดีเดียวกันได้หรือไม่ พิเคราะห์แล้วเห็นว่าประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 59 บัญญัติว่า บุคคลตั้งแต่สองคนขึ้นไปอาจเป็นคู่ความในคดีเดียวกันได้ โดยเป็นโจทก์ร่วมหรือจำเลยร่วม ถ้าหากปรากฏว่าบุคคลเหล่านั้นมีผลประโยชน์ร่วมกันในมูลความแห่งคดี…ฯลฯ ซึ่งหมายความว่าต้องมีส่วนได้เสียร่วมกันในมูลเหตุอันเป็นรากฐานแห่งคดีนั้น โดยถือหนี้อันเป็นมูลของคดีนั้นเป็นสาระสำคัญ คดีนี้โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยบุกรุกที่ดินของโจทก์ทั้งสองบางส่วนทางด้านทิศเหนือเป็นผืนติดต่อกันในเวลาเดียวกันเพื่อแย่งสิทธิครอบครองเป็นของตน โจทก์ทั้งสองย่อมมีส่วนได้เสียในมูลเหตุอันเป็นรากฐานแห่งคดีนั้นแล้ว แม้ที่ดินที่ถูกบุกรุกจะมีหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3ก.) คนละฉบับ และเป็นที่ดินต่างแปลงกันก็ตาม ก็เป็นเรื่องหลักฐานทางทะเบียนเท่านั้น กรณีดังกล่าวถือได้ว่าโจทก์ทั้งสองมีส่วนได้เสียร่วมกันในมูลความแห่งคดี จึงชอบที่จะเป็นโจทก์ร่วมฟ้องจำเลยรวมกันมาในคดีเดียวกันได้
พิพากษากลับ ให้รับคำฟ้องของโจทก์ทั้งสองไว้พิจารณาต่อไป