คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1946/2520

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

มาตรา 72 และ 73 แห่งพระราชบัญญัติจัดวางการรถไฟและทางหลวง พระพุทธศักราช 2464 ให้อำนาจการรถไฟฯ เป็นผู้พิจารณาว่าทางรถไฟผ่านข้ามถนนสายใดสำคัญหรือไม่ ถ้าเป็นทางสายสำคัญก็ให้ปฏิบัติตามมาตรา 72 ถ้าเป็นทางสายไม่สู้สำคัญก็ให้ปฏิบัติตามมาตรา 73 หาได้บังคับให้การรถไฟฯ จำต้องทำประตูหรือขึงโซ่หรือทำราวกั้นขวางถนนบรรดาที่ตัดผ่านทางรถไฟทุกสายไม่
ก่อนถึงทางรถไฟตรงที่เกิดเหตุมีป้ายบอกว่าระวังรถไฟมีป้ายใช้ความเร็ว 40 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ตอนจะถึงทางรถไฟมีเลข 20 แล้วมีเสาแผงสัญญาณไฟ ขณะนั้นสัญญาณไฟวาบและระฆังทำงานได้ตามปกติ แสดงว่าโจทก์ได้ปฏิบัติตามมาตรา 73 แล้ว ไม่เป็นการประมาทเพราะฝ่าฝืนไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นนิติบุคคล จำเลยที่ 1 เป็นลูกจ้างของจำเลยที่ 2มีหน้าที่ขับรถยนต์ จำเลยที่ 1 ขับรถยนต์โดยสารคันหนึ่งด้วยความประมาทโดยขับด้วยความเร็วสูง เมื่อถึงทางรถไฟทอดผ่านถนน จำเลยที่ 1 ไม่ปฏิบัติตามเครื่องหมายจราจรไม่หยุดรถตามป้าย สัญญาณไฟวาบและเสียงระฆัง แซงรถคันอื่นเข้าไปในทางรถไฟจนชนกับรถไฟขบวนหนึ่งของโจทก์ รางรถไฟ รถจักรและรถพ่วงเสียหาย 16,000 บาทเศษ เป็นการกระทำละเมิดในทางการที่จ้างของจำเลยที่ 2 ซึ่งจำเลยทั้งสองต้องร่วมกันรับผิดชดใช้พร้อมด้วยดอกเบี้ย

จำเลยทั้งสองให้การว่า จำเลยที่ 1 ไม่ได้ประมาท พนักงานขับรถไฟของโจทก์ประมาท ขับรถผ่านถนนตัดกับทางรถไฟด้วยความเร็วสูงโดยไม่เปิดหวูดสัญญาณ สัญญาณไฟวาบและระฆังไม่ทำงาน โจทก์ละเลยไม่ทำประตูขึงโซ่หรือทำแผงปิดกั้นขวางถนนตามที่กำหนดไว้ในพระราชบัญญัติจัดวางการรถไฟและทางหลวง พ.ศ. 2464 มาตรา 72, 73 เป็นเหตุให้ชนรถยนต์ของจำเลยที่ 2เสียหาย 80,000 บาท ขาดรายได้ 108,000 บาท จึงฟ้องแย้งให้โจทก์ใช้ค่าเสียหายดังกล่าว

โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งว่าจำเลยเป็นฝ่ายประมาท

ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยร่วมกันใช้ค่าเสียหายพร้อมด้วยดอกเบี้ยและให้ยกฟ้องแย้ง

จำเลยทั้งสองอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

จำเลยทั้งสองฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า จำเลยที่ 1 ถูกฟ้องเป็นคดีอาญาในความผิดฐานขับรถยนต์โดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นตายและบาดเจ็บ ศาลพิพากษาลงโทษจำเลยที่ 1 คดีถึงที่สุดไปแล้ว คดีสำหรับจำเลยที่ 1 จึงต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในคำพิพากษาคดีส่วนอาญาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 46 จำเลยที่ 1 จะนำสืบโต้เถียงเป็นอย่างอื่นไม่ได้ แล้ววินิจฉัยให้เฉพาะฎีกาของจำเลยที่ 2 โดยฟังข้อเท็จจริงว่าขณะเกิดเหตุไฟวาบและระฆังสัญญาณใช้ได้อยู่ตามปกติ แล้ววินิจฉัยต่อไปว่า จำเลยที่ 2 ฎีกาว่าโจทก์ฝ่าฝืนไม่ปฏิบัติตามกฎหมายว่าด้วยการจัดวางการรถไฟและทางหลวงโดยไม่ได้จัดแผง โซ่ หรือไม้กั้นถนนตรงที่เกิดเหตุซึ่งตัดกับทางรถไฟ เป็นการฝ่าฝืนกฎหมาย ประเด็นข้อนี้พระราชบัญญัติจัดวางการรถไฟและทางหลวงพระพุทธศักราช 2464 มาตรา 72บัญญัติว่า “เมื่อทางรถไฟผ่านข้ามถนนสำคัญเสมอระดับให้วางรางคู่กำกับเพื่อให้มีช่องพอครีบล้อรถผ่านไปมาได้ กับให้ทำประตูฤาขึงโซ่หรือทำราวกั้นขวางถนนฤาทางนั้น ๆ ตามสมควรแก่การ” และมาตรา 73 บัญญัติว่า “เมื่อถนนที่ต้องผ่านข้ามไปนั้น ไม่สู้สำคัญพอถึงกับต้องทำประตูกั้นแล้วให้พนักงานขับรถจักรเปิดหวีดก่อนที่รถจะผ่านข้ามถนนนั้น กับให้ทำเครื่องหมายสัญญาอย่างถาวรปักไว้ให้เห็นแจ้งบนทางแลถนนนั้น เพื่อให้พนักงานขับรถจักรและประชาชนรู้ตัวก่อนภายในเวลาอันสมควรว่าเข้ามาใกล้ทางรถไฟที่ผ่านข้ามถนน” ตามตัวบทกฎหมายดังกล่าวแสดงว่ากฎหมายให้อำนาจการรถไฟฯ เป็นผู้พิจารณาว่าทางรถไฟผ่านข้ามถนนสายใดสำคัญหรือไม่ ถ้าเป็นทางสำคัญก็ให้ปฏิบัติตามมาตรา 72 ถ้าเป็นทางไม่สำคัญก็ให้ปฏิบัติตามมาตรา 73 กฎหมายหาได้บังคับให้การรถไฟฯ จำต้องทำประตูหรือขึงโซ่หรือทำราวกั้นขวางถนนบรรดาที่ตัดผ่านทางรถไฟทุกสายไม่แล้วฟังว่า ก่อนถึงทางรถไฟตรงที่เกิดเหตุมีป้ายบอกว่าระวังรถไฟ และมีป้ายใช้ความเร็ว 40 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ต่อมาจะถึงทางรถไฟมีเลข 20 แล้วมีเสาแผงสัญญาณไฟ สัญญาณไฟวาบ และระฆังทำงานได้ตามปกติ แสดงว่าโจทก์ได้ปฏิบัติตามมาตรา 73 แห่งพระราชบัญญัติจัดวางการรถไฟและทางหลวงพระพุทธศักราช 2464 แล้ว

พิพากษายืน

Share