แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
โจทก์มีส่วนทำให้ข้อเท็จจริงในกรณีพิพาทระหว่างจำเลยกับ ห.บิดเบือน จนเป็นเหตุให้จำเลยถูกผู้บังคับบัญชาลงโทษโดยไม่เป็นธรรมจำเลยย่อมเข้าใจโดยสุจริตว่า เหตุที่จำเลยไม่ได้รับความเป็นธรรมเป็นเพราะการกระทำของโจทก์ การที่จำเลยอุทธรณ์คำสั่งคณะกรรมการสอบสวนโดยกล่าวพาดพิงถึงโจทก์ดังข้อความตามฟ้องจึงเป็นการไขข่าวซึ่งมีส่วนเป็นความจริงและจำเลยกระทำการดังกล่าวโดยสุจริต เพื่อความชอบธรรมป้องกันตนและส่วนได้เสียของตนตามคลองธรรมไม่เป็นละเมิดต่อโจทก์
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นทนายความและเป็นลูกจ้างบริษัทไทยเดินเรือทะเล จำกัด จำเลยซึ่งเป็นพนักงานของบริษัทดังกล่าวได้ทำหนังสืออุทธรณ์คำสั่งคณะกรรมการซึ่งสั่งลงโทษจำเลยไปยังประธานกรรมการบริหารท่าเรือมีข้อความว่า โจทก์เป็นหัวหน้านายหลาบ เรียนจบทนายความสามารถปั้นพยานเท็จช่วยนายหลาบซึ่งเป็นลูกน้องได้เสมอ โจทก์พยายามปั้นสถานการณ์และพยานเท็จอยู่ตลอดเวลา โจทก์เป็นคนแย่ที่สุด ถ้าดื่มเบียร์เข้ามาในบริษัทโจทก์จะด่าผู้หญิงข้างล่างอย่างหยาบคาย ถ้าโจทก์รู้ว่าจำเลยร้องเรียนและเล่าความประพฤติของโจทก์ให้ประธานกรรมการทราบจำเลยอาจถูกสั่งเก็บ ข้อความนี้ไม่เป็นความจริง เป็นการกลั่นแกล้งไขข่าวให้แพร่หลายซึ่งข้อความที่ฝ่าฝืนต่อความจริง เพื่อให้โจทก์เสียหายแก่ชื่อเสียง เกียรติคุณ ถูกดูหมิ่นเกลียดชัง ขอให้ใช้ค่าเสียหาย 200,000 บาท พร้อมดอกเบี้ย จำเลยให้การว่า นายหลาบชกต่อยจำเลยด้วยความมึนเมาเป็นเหตุให้จำเลยได้รับบาดเจ็บตาข้างขวาบอด โจทก์ใช้อำนาจหน้าที่แนะนำเสี้ยมสอนพยานให้ให้การต่อคณะกรรมการสอบสวนว่าจำเลยเป็นฝ่ายก่อเรื่องก่อนและนายหลาบมิได้ทำร้ายจำเลย เป็นเหตุให้คณะกรรมการหลงเชื่อและสั่งลงโทษตัดเงินเดือนจำเลย จำเลยจึงทำหนังสืออุทธรณ์คำสั่งตามข้อความในฟ้องเป็นการป้องกันตนและส่วนได้เสียของตนตามคลองธรรม เมื่อกรรมการได้พิจารณาคำร้องอุทธรณ์ของจำเลยแล้วมีความเห็นเป็นจริงดังอุทธรณ์ได้มีคำสั่งแก้ไขคำสั่งเดิมให้ลงโทษนายหลาบเพียงฝ่ายเดียวต่อมาพนักงานอัยการได้ฟ้องนายหลาบข้อหาทำร้ายร่างกายบาดเจ็บสาหัส และศาลจำคุกนายหลาบ 3 ปี ขอให้ยกฟ้องศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนโจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ตามพยานเอกสารที่โจทก์จำเลยอ้างส่งศาลข้อเท็จจริงเบื้องต้นฟังได้ว่า โจทก์ทำงานบริษัทไทยเดินเรือทะเล จำกัด ในตำแหน่งหัวหน้าแผนกกลางของท่าเรือบริษัทดังกล่าว จำเลยเป็นพนักงานการเงินบริษัทดังกล่าว เมื่อวันที่2 พฤศจิกายน 2526 เวลาประมาณ 16 นาฬิกา นายหลาบ วงษ์รอฮีมพนักงานขับรถบริษัทดังกล่าวซึ่งอยู่ใต้บังคับบัญชาของโจทก์โต้เถียงทะเลาะกับจำเลยและได้ชกต่อยถูกบริเวณตาขวาของจำเลยเป็นเหตุให้ได้รับอันตรายสาหัสมีผู้นำจำเลยไปรักษาตัว นายจำเรียง อุปถัมภ์กับนางสาวอุบลรัตน์ บุญใจ เห็นเหตุการณ์ขณะเกิดเหตุ หลังเกิดเหตุในเย็นวันเดียวกันนายหลาบนำนายจำเรียงไปเล่าเหตุการณ์ให้โจทก์ฟัง โจทก์ขอร้องให้ช่วยเหลือนายหลาบเพื่อมิให้ถูกไล่ออกจากงาน วันรุ่งขึ้นเจ้าพนักงานตำรวจจับนายหลาบ โจทก์เป็นผู้ประกันตัวนายหลาบไปจากพนักงานสอบสวน หลังเกิดเหตุแล้ว2-3 วัน โจทก์นำนายหลาบไปบอกบิดาจำเลยว่า เกิดเรื่องเล็กน้อยไม่ควรให้จำเลยทำเป็นเรื่องใหญ่โต ต่อมา วันที่ 28ธันวาคม 2526 คณะกรรมการที่ผู้จัดการท่าเรือของบริษัทตั้งขึ้นได้เรียกนายจำเรียง อุปถัมภ์ และนางสาวอุบลรัตน์ บุญใจ ไปให้การและบันทึกไว้ วันที่ 29 ธันวาคม 2526 คณะกรรมการรายงานต่อผู้จัดการบริษัทว่า เป็นกรณีทะเลาะวิวาทกันทั้งสองฝ่าย ควรตัดเงินเดือนนายหลาบ 10% เป็นเวลา 1 เดือน และตัดเงินเดือนจำเลย 5% เป็นเวลา 1 เดือน ผู้จัดการสั่งลงโทษนายหลาบและจำเลยตามความเห็นของคณะกรรมการ วันที่ 27 มกราคม 2527จำเลยอุทธรณ์คำสั่งดังกล่าวโดยกล่าวพาดพิงถึงโจทก์ มีข้อความตามฟ้องคดีนี้ (เอกสารจำเลยส่งอันดับที่ 19 ถึง 24) มีการตั้งคณะกรรมการชุดใหม่ขึ้นสอบสวน คณะกรรมการชุดใหม่มีความเห็นว่าควรเปลี่ยนแปลงคำสั่งลงโทษเดิม ประธานกรรมการบริษัทมีคำสั่งเมื่อวันที่ 23พฤษภาคม 2527 เปลี่ยนแปลงคำสั่งลงโทษเดิมเป็นว่า สำหรับจำเลยให้ลดโทษจากการตัดเงินเดือนเป็นภาคทัณฑ์มีกำหนด 1 ปี(เอกสารจำเลยส่งอันดับที่ 17-18) ส่วนการดำเนินคดีอาญาแก่นายหลาบปรากฏว่าพนักงานอัยการเป็นโจทก์ฟ้องนายหลาบต่อศาลอาญาธนบุรีในข้อหาทำร้ายร่างกายเป็นเหตุให้ได้รับอันตรายสาหัส จำเลยคดีนี้เข้าเป็นโจทก์ร่วม โจทก์คดีนี้เบิกความเป็นพยานนายหลาบศาลพิพากษาลงโทษจำคุกนายหลาบ 3 ปี ปรากฏตามคำพิพากษาคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 6203/2527 ต่อมาจำเลยฟ้องโจทก์ว่า ข้อความที่โจทก์เบิกความในคดีดังกล่าวเป็นความเท็จ ขอให้ลงโทษโจทก์ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 177 ศาลอาญาธนบุรีไต่สวนมูลฟ้องแล้วพิพากษายกฟ้องตามคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 690/2528 คดีทั้งสองนี้อยู่ในระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์ นายจำเรียงเบิกความเป็นพยานโจทก์ในคดีทั้งสอง เฉพาะในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 690/2528 นายจำเรียงเบิกความว่าที่ให้การต่อคณะกรรมการว่าไม่รู้เห็นเหตุการณ์ตอนนายหลาบทำร้ายจำเลยเพราะโจทก์คดีนี้ขอร้อง ส่วนนางสาวอุบลรัตน์ก็ให้การเป็นพยานนายหลาบในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 6203/2527 ต่อมาโจทก์ฟ้องจำเลยเป็นคดีอาญาในข้อหาหมิ่นประมาทใส่ความและเรียกค่าเสียหายเป็นคดีนี้
พิเคราะห์แล้ว ตามข้อเท็จจริงที่ฟังได้ในเบื้องต้นดังกล่าวแล้วปรากฏว่า เรื่องที่จำเลยถูกนายหลาบชกต่อยทำร้ายนั้น มีนายจำเรียงกับนางสาวอุบลรัตน์รู้เห็นเหตุการณ์โดยตลอดตั้งแต่นายหลาบกับจำเลยด่าโต้ตอบกันและนายหลาบชกต่อยทำร้ายจำเลย แต่ทั้งนายจำเรียงและนางสาวอุบลรัตน์ให้การต่อคณะกรรมการสอบสวนเมื่อวันที่ 28 ธันวาคม 2526 ว่าไม่รู้เห็นขณะนายหลาบชกต่อยทำร้ายจำเลย เฉพาะนายจำเรียงเคยบอกกับจำเลยว่า ที่ให้การเช่นนั้นเพราะโจทก์ขอร้องให้ช่วยเหลือนายหลาบมิให้ถูกไล่ออกจากงาน ในเรื่องที่โจทก์ช่วยเหลือนายหลาบ โจทก์เบิกความเป็นพยานนายหลาบในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 6203/2527 ยอมรับว่าได้นำนายหลาบไปขอร้องบิดาจำเลยและได้ประกันตัวนายหลาบชั้นสอบสวน พฤติการณ์ที่โจทก์ช่วยเหลือนายหลาบจนเป็นเหตุให้จำเลยถูกลงโทษตัดเงินเดือนเกิดขึ้นก่อนจำเลยยื่นอุทธรณ์คำสั่งลงโทษของคณะกรรมการ หาใช่เกิดขึ้นภายหลังดังโจทก์ฎีกาไม่ ทั้งเป็นพฤติการณ์ที่เห็นได้ชัดว่า โจทก์มีส่วนทำให้ข้อเท็จจริงในกรณีพิพาทระหว่างจำเลยกับนายหลาบบิดเบือนจนเป็นเหตุให้จำเลยถูกลงโทษโดยไม่เป็นธรรม จำเลยย่อมเข้าใจโดยสุจริตว่า เหตุที่จำเลยไม่ได้รับความเป็นธรรมเพราะการกระทำของโจทก์เพราะฉะนั้น การที่จำเลยอุทธรณ์คำสั่งคณะกรรมการโดยกล่าวพาดพิงถึงโจทก์ด้วยข้อความดังที่โจทก์กล่าวในฟ้องจึงเป็นการไขข่าวซึ่งข้อความที่มีส่วนเป็นความจริง และจำเลยกระทำการดังกล่าวโดยสุจริต เพื่อความชอบธรรมป้องกันตนและส่วนได้เสียของตนตามคลองธรรม ไม่เป็นละเมิดต่อโจทก์ ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาต้องกันให้ยกฟ้องนั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย”
พิพากษายืน