แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์บรรพ 3 ลักษณะ 5 ว่าด้วยเช่าซื้อมิได้บัญญัติเรื่องอายุความไว้โดยตรง. แต่ค่าเช่าซื้อก็เป็นค่าเช่าในการใช้ทรัพย์สินอย่างหนึ่ง. หากผู้ให้เช่าซื้อเป็นพ่อค้า ย่อมมีสิทธิเรียกร้องค่าเช่าซื้อที่ค้างชำระได้. ภายในกำหนดอายุความ 2 ปีตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 165(6).
ในกรณีที่ผู้ให้เช่าซื้อบอกเลิกสัญญาและเรียกให้ผู้เช่าซื้อส่งคืนทรัพย์สินที่เช่าซื้อหากส่งคืนไม่ได้ให้ใช้ราคาแทนนั้น. เป็นการที่เจ้าของกรรมสิทธิ์ใช้สิทธิติดตามเรียกเอาทรัพย์คืนอยู่ภายในกำหนดอายุความ 10 ปี.
ผู้ค้ำประกันการเช่าซื้อซึ่งทำสัญญาไว้ว่าตนไม่มีสิทธิถอนการค้ำประกันไม่ว่าเวลาใดนั้น. จะแสดงเจตนาฝ่ายเดียวขอถอนการค้ำประกันภายหลังจากผู้เช่าซื้อผิดสัญญาแล้วโดยฝ่ายผู้ให้เช่าซื้อมิได้ตกลงด้วยหาได้ไม่.
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 เช่าซื้อเครื่องรับโทรทัศน์ 1 เครื่องราคา 6,740 บาท จากโจทก์ โดยจำเลยที่ 2 เป็นผู้ค้ำประกันและเป็นลูกหนี้ร่วม จำเลยที่ 1 ผิดนัดชำระค่าเช่าซื้อ 2 คราวติดต่อกันโจทก์ได้บอกเลิกสัญญาแล้ว ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองชำระค่าเช่าซื้อที่ค้างและค่าเสียหายรวม 7,797 บาท และส่งคืนเครื่องรับโทรทัศน์ถ้าส่งคืนไม่ได้ให้ใช้ราคาและใช้ค่าเสียหายนับแต่วันฟ้อง จำเลยที่ 1 ต่อสู้ว่า ค้างชำระค่าเช่าซื้อเพียง 4,407 บาทโจทก์ไม่มีสิทธิเรียกค่าเสียหาย คดีโจทก์ขาดอายุความ จำเลยที่ 2 ต่อสู้ว่า โจทก์ยอมให้จำเลยที่ 2 พ้นจากการเป็นผู้ค้ำประกันแล้ว โจทก์ฟ้องเรียกค่าเช่าซื้อและค่าเครื่องรับโทรทัศน์สองทางเป็นการเอาเปรียบและเคลือบคลุม ฟ้องโจทก์ขาดอายุความ ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระค่าเช่าซื้อที่ค้าง 678 บาท พร้อมคืนเครื่องรับโทรทัศน์ ถ้าคืนไม่ได้ให้ใช้ราคา จำเลยที่ 2 อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน จำเลยที่ 2 ฎีกาว่า จำเลยที่ 2 หลุดพ้นความรับผิดตามสัญญาค้ำประกันและคดีขาดอายุความ ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า จำเลยเป็นฝ่ายผิดสัญญาเช่าซื้อ เมื่อประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ 3 ลักษณะ 5 ว่าด้วยเช่าซื้อมิได้บัญญัติเรื่องอายุความไว้โดยตรง แต่การที่จำเลยค้างชำระค่าเช่าซื้อ ก็เท่ากับค้างค่าเช่าที่จำเลยรับเอาเครื่องรับโทรทัศน์นั้นไปใช้ ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 165(6) บัญญัติว่า”บุคคลจำพวกที่ค้าในการให้เช่าสังหาริมทรัพย์เรียกเอาค่าเช่า”มีสิทธิเรียกร้องในกำหนดอายุความ 2 ปี จำเลยผิดนัดชำระค่าเช่าซื้องวดวันที่ 1-7 มกราคม 2507 และงวดวันที่ 1-7 กุมภาพันธ์ 2507รวม 2 งวดติดกัน โจทก์ฟ้องคดีนี้เมื่อวันที่ 9 ธันวาคม 2508ยังไม่เกิน 2 ปี ส่วนการที่ฟ้องให้จำเลยคืนเครื่องรับโทรทัศน์หรือใช้ราคา เป็นการที่โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ ใช้สิทธิติดตามเรียกเอาทรัพย์คืน มีอายุความ 10 ปี ฟ้องโจทก์จึงไม่ขาดอายุความ ข้อที่ฎีกาว่า จำเลยที่ 2 หลุดพ้นจากความรับผิดตามสัญญาค้ำประกันนั้น ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ตามสัญญาค้ำประกันท้ายฟ้องมีว่าผู้ค้ำประกันไม่มีสิทธิที่จะถอนการค้ำประกันไม่ว่าเวลาใดจนกว่าจะชำระหนี้ครบถ้วน และยอมตกลงเป็นลูกหนี้ร่วมกับผู้เช่าซื้อด้วยที่จำเลยที่ 2 อ้างว่าได้ขอถอนการค้ำประกันนั้น โจทก์ก็มิได้ตกลงด้วย และเป็นเวลาภายหลังที่จำเลยที่ 1 ผิดสัญญา ซึ่งโจทก์ได้แจ้งให้จำเลยที่ 2 ชำระค่าเช่าซื้อเครื่องรับโทรทัศน์แล้วจำเลยที่ 2 จะแสดงเจตนาฝ่ายเดียวขอถอนการค้ำประกันเป็นการขัดกับข้อสัญญาหาได้ไม่ พิพากษายืน.