แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
จำเลยยื่นอุทธรณ์และยื่นคำร้องขอดำเนินคดีอย่างคนอนาถา ศาลชั้นต้นไต่สวนแล้ววินิจฉัยว่าคดีของจำเลยไม่มีมูลพอที่จะอุทธรณ์ให้ยกคำร้อง ส่วนศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าคดีของจำเลยมีมูลพอที่จะอุทธรณ์แต่จำเลยไม่เป็นคนยากจนให้ยกคำร้อง คำสั่งของศาลอุทธรณ์ที่ยืนตามคำสั่งศาลชั้นต้นที่ไม่อนุญาตให้จำเลยดำเนินคดีอย่างคนอนาถาในชั้นอุทธรณ์เป็นคำสั่งที่ได้วินิจฉัยในเนื้อหาแห่งคำร้องแล้วจึงเป็นที่สุดตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 156 วรรคท้าย ที่จำเลยฎีกาขอให้ศาลฎีกาอนุญาตให้ดำเนินคดีอย่างคนอนาถาในชั้นอุทธรณ์แม้จะอ้างว่าศาลอุทธรณ์ไม่มีอำนาจยกประเด็นเรื่องจำเลยเป็นคนยากจนขึ้นวินิจฉัยก็เป็นการฎีกาในเนื้อหาแห่งคำร้องเพื่อขออนุญาตให้จำเลยดำเนินคดีอย่างคนอนาถาในชั้นอุทธรณ์ เป็นฎีกาโต้แย้งคัดค้านคำสั่งศาลอุทธรณ์ซึ่งถึงที่สุดแล้ว จึงต้องห้ามตามบทบัญญัติดังกล่าว
ย่อยาว
คดีนี้สืบเนื่องมาจากศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1 และที่ 2 ร่วมกันชำระเงินจำนวน 15,000,200 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 21 ต่อปี ของต้นเงิน 10,000,000 บาท นับแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน 2539 และต้นเงิน 5,000,000 บาท นับแต่วันที่ 6 พฤศจิกายน 2539 จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ดอกเบี้ยถึงวันฟ้อง (วันที่ 3 พฤศจิกายน 2540) คำนวณแล้วไม่เกิน 3,161,706.84 บาท ตามขอ กับให้จำเลยที่ 3 ร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1 และที่ 2 ต่อโจทก์ในต้นเงิน 15,000,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 10,000,000 บาท นับแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน 2539 และต้นเงิน 5,000,000 บาท นับแต่วันที่ 6 พฤศจิกายน 2539 จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยที่ 3 อุทธรณ์พร้อมกับยื่นคำร้องขออุทธรณ์อย่างคนอนาถา
ศาลชั้นต้นไต่สวนแล้ว เห็นว่า จำเลยที่ 3 ไม่ได้นำพยานหลักฐานมาแสดงต่อศาลให้เป็นที่พอใจว่า คดีของจำเลยที่ 3 มีมูลพอที่จะอุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 155 มีคำสั่งให้ยกคำร้อง
จำเลยที่ 3 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิจารณาแล้วเห็นว่า คำเบิกความของจำเลยที่ 3 ในชั้นไต่สวนคำร้องพอถือได้ว่าคดีของจำเลยที่ 3 มีเหตุผลสมควรที่จะอุทธรณ์ แต่ยังไม่พอฟังว่าจำเลยที่ 3 เป็นคนยากจนไม่สามารถเสียค่าธรรมเนียมศาลได้ มีคำสั่งให้ยกคำร้อง หากจำเลยที่ 3 ยังติดใจอุทธรณ์ ก็ให้นำเงินค่าธรรมเนียมศาลมาชำระต่อศาลชั้นต้นภายในกำหนด 15 วัน นับแต่ทราบคำสั่ง
จำเลยที่ 3 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “เห็นว่า คดีนี้จำเลยที่ 3 ยื่นอุทธรณ์และยื่นคำร้องขอดำเนินคดีอย่างคนอนาถาในชั้นอุทธรณ์ ซึ่งการที่ศาลจะอนุญาตให้จำเลยที่ 3 ดำเนินคดีอย่างคนอนาถาในชั้นนี้ได้จะต้องได้ความว่าจำเลยที่ 3 เป็นคนยากจนไม่สามารถเสียค่าธรรมเนียมศาลในชั้นอุทธรณ์ และคดีมีเหตุผลอันสมควรที่จะอุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 155 วรรคหนึ่ง ศาลชั้นต้นไต่สวนแล้ววินิจฉัยว่าคดีของจำเลยที่ 3 ไม่มีมูลพอที่จะอุทธรณ์ มีคำสั่งให้ยกคำร้อง และศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าคดีของจำเลยที่ 3 มีมูลพอที่จะอุทธรณ์ แต่จำเลยที่ 3 ไม่เป็นคนยากจนมีคำสั่งให้ยกคำร้อง เช่นนี้คำสั่งของศาลอุทธรณ์มีคำสั่งยืนตามคำสั่งศาลชั้นต้นที่ไม่อนุญาตให้จำเลยที่ 3 ดำเนินคดีอย่างคนอนาถาในชั้นอุทธรณ์โดยได้วินิจฉัยในเนื้อหาแห่งคำร้องแล้ว คำสั่งศาลอุทธรณ์จึงเป็นที่สุดตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 156 วรรคท้าย ที่จำเลยที่ 3 ฎีกาขอให้ศาลฎีกาอนุญาตให้ดำเนินคดีอย่างคนอนาถาในชั้นอุทธรณ์แม้จะอ้างว่า ศาลอุทธรณ์ไม่มีอำนาจยกประเด็นเรื่องจำเลยที่ 3 เป็นบุคคลยากจนขึ้นวินิจฉัยก็เป็นการกล่าวอ้างฎีกาในเนื้อหาแห่งคำร้องเพื่อขออนุญาตให้จำเลยที่ 3 ดำเนินคดีอย่างคนอนาถาในชั้นอุทธรณ์ เป็นฎีกาโต้แย้งคัดค้านคำสั่งศาลอุทธรณ์ซึ่งถึงที่สุดแล้ว จำเลยที่ 3 ไม่อาจจะฎีกาอีกได้ ต้องห้ามตามบทบัญญัติกฎหมายดังกล่าว ที่ศาลชั้นต้นรับฎีกาจำเลยที่ 3 มาไม่ชอบ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย”
พิพากษายกฎีกาจำเลยที่ 3 หากจำเลยที่ 3 ประสงค์จะอุทธรณ์ต่อไปก็ให้นำเงินค่าธรรมเนียมศาลมาชำระต่อศาลชั้นต้นภายในกำหนด 15 วัน นับแต่วันฟังคำพิพากษา