แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
การขาดแรงงานในครอบครัวเป็นการขาดไร้อุปการะอย่างหนึ่งก่อนตายผู้ตายและโจทก์ที่ 1 ซึ่งเป็นสามีประกอบกิจการร้านอาหารร่วมกับ ป. โดยผู้ตายทำหน้าที่ดูแลร้านอาหาร ถือได้ว่าผู้ตายเป็นผู้ทำการงานในครัวเรือนให้แก่โจทก์ที่ 1 โจทก์ที่ 1 จึงมีสิทธิเรียกค่าสินไหมทดแทนการขาดแรงงานในครอบครัวได้ด้วย ค่าอาหารเลี้ยงดูแขกที่มาร่วมงานศพกับค่าของและเงินถวายพระเป็นค่าใช้จ่ายอันจำเป็นในการจัดการศพ ค่าสินไหมทดแทนการขาดไร้อุปการะและค่าสินไหมทดแทนการขาดแรงงานเป็นหนี้เงินที่จะต้องชำระทันที จำเลยจึงต้องเสียดอกเบี้ยนับแต่วันกระทำละเมิดซึ่งเป็นวันผิดนัด
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ที่ 1 เป็นสามีโดยชอบด้วยกฎหมายของนางจรูญ ยศวิจิตร หรือพะก่าพันธ์หรือผกาพันธ์ ผู้ตาย มีบุตรด้วยกัน 1 คน คือโจทก์ที่ 2 โจทก์ที่ 3 และโจทก์ที่ 4 เป็นบิดามารดาของผู้ตาย จำเลยที่ 1 เป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัดประกอบกิจการขนส่งคนโดยสารในเขตอำเภอเมืองเชียงใหม่ จำเลยที่ 2เป็นลูกจ้างของจำเลยที่ 1 โดยเป็นพนักงานขับรถยนต์โดยสารประจำทางรับส่งผู้โดยสารในเขตอำเภอเมืองเชียงใหม่ เมื่อวันที่ 8 มิถุนายน2529 จำเลยที่ 2 ขับรถยนต์โดยสารของจำเลยที่ 1 ไปในทางการที่จ้างของจำเลยที่ 1 ด้วยความประมาทเป็นเหตุให้รถยนต์โดยสารที่จำเลยที่ 2 ขับพุ่งชนรถจักรยานยนต์ซึ่งมีนางสุพีร์ อุปนันท์ เป็นผู้ขับ และมีนางจรูญนั่งซ้อนท้าย รถจักรยานยนต์ได้รับความเสียหาย นางสุพีร์ได้รับบาดเจ็บเล็กน้อย นางจรูญถึงแก่ความตายและด้วยผลแห่งการละเมิดที่จำเลยที่ 2 ก่อขึ้นทำให้โจทก์ทั้งสี่ได้รับความเสียหาย โดยโจทก์ที่ 1 ต้องเสียค่าใช้จ่ายในการจัดการศพนางจรูญเป็นเงิน 51,137 บาท ค่าขาดแรงงานในครอบครัวเป็นเงิน102,000 บาท แต่ขอคิดเพียง 80,000 บาท และทำให้โจทก์ทั้งสี่ขาดไร้อุปการะเลี้ยงดู ขอคิดค่าขาดไร้อุปการะสำหรับโจทก์ที่ 1จำนวน 100,000 บาท สำหรับโจทก์ที่ 2 จำนวน 100,000 บาท สำหรับโจทก์ที่ 3 และโจทก์ที่ 4 จำนวน 180,000 บาท รวมค่าเสียหายของโจทก์ทั้งสี่เป็นเงิน 501,127 บาท แต่โจทก์ทั้งสี่ขอเรียกจากจำเลยทั้งสองเพียง 500,000 บาท ขอบังคับให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงิน 500,000 บาท พร้อมกับดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปีนับแต่วันถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จให้แก่โจทก์
จำเลยที่ 1 ให้การว่า เหตุคดีนี้เกิดขึ้นมิใช่ความประมาทของจำเลยที่ 2 แต่เป็นความประมาทของนางสุพีร์ โจทก์ที่ 1 ไม่มีสิทธิเรียกค่าขาดแรงงานในครอบครัว เพราะซ้ำซ้อนกับค่าขาดไร้อุปการะ ค่าเสียหายที่โจทก์ทั้งสี่ฟ้องมานั้นมากเกินความจริงขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ 2 ให้การว่า จำเลยที่ 2 ไม่ได้ขับรถยนต์โดยประมาทแต่เหตุเกิดขึ้นเพราะความผิดของนางสุพีร์ จำเลยที่ 2 จึงไม่ต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหาย ค่าเสียหายที่โจทก์ฟ้องมาเป็นค่าเสียหายสูงเกินฐานะความเป็นอยู่ทางสังคมของผู้ตาย ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระค่าเสียหายจำนวน 258,400 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปีนับแต่วันถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเงินให้โจทก์เสร็จ
จำเลยที่ 1 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืน
จำเลยที่ 1 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าเหตุที่เกิดขึ้นเพราะความประมาทของจำเลยที่ 2 ที่จำเลยที่ 1 ฎีกาว่า โจทก์ที่ 1ไม่มีสิทธิเรียกค่าสินไหมทดแทนสำหรับค่าขาดแรงงานในครอบครัวเพราะได้เรียกค่าสินไหมทดแทนการขาดไร้อุปการะแล้วนั้น เห็นว่า การขาดแรงงานในครอบครัวเป็นการขาดไร้อุปการะอย่างหนึ่ง คดีได้ความว่าก่อนตายผู้ตายและโจทก์ที่ 1 มีกิจการร้านอาหารร่วมกับนางประทุมโดยผู้ตายทำหน้าที่ดูแลร้านอาหาร ถือได้ว่าผู้ตายเป็นผู้ทำการงานในครัวเรือนให้แก่โจทก์ที่ 1 โจทก์ที่ 1 จึงมีสิทธิเรียกค่าสินไหมทดแทนการขาดแรงงานในครอบครัวได้ด้วย
ที่จำเลยที่ 1 ฎีกาว่า ค่าอาหารเลี้ยงดูแขกที่มาร่วมงานศพกับค่าของและเงินถวายพระไม่ใช่ค่าใช้จ่ายอันจำเป็นนั้น เห็นว่าตามประเพณีปฏิบัติกันทั่วไป ในวันสวดพระอภิธรรมจะมีการเลี้ยงอาหารและเครื่องดื่มแก่แขกผู้มาร่วมงานกับต้องถวายของและเงินแก่พระภิกษุที่สวดพระอภิธรรมในแต่ละคืน สำหรับวันฌาปนกิจศพก็จะมีการถวายผ้าบังสุกุลแก่พระภิกษุ มีการเลี้ยงเครื่องดื่มแก่แขกผู้มาร่วมงาน จึงถือได้ว่าค่าอาหารและเครื่องดื่มตลอดจนค่าของและเงินถวายพระภิกษุเป็นสิ่งจำเป็นในการจัดการศพของผู้ตาย
ที่จำเลยที่ 1 ฎีกาเป็นข้อสุดท้ายว่า โจทก์ไม่ควรได้ดอกเบี้ยสำหรับค่าสินไหมทดแทนการขาดไร้อุปการะและการขาดค่าแรงงาน เพราะเป็นเงินที่พึงได้ในอนาคตนั้น เห็นว่า ค่าสินไหมทดแทนการขาดไร้อุปการะและค่าสินไหมทดแทนการขาดแรงงานนั้น เป็นหนี้เงินที่จำเลยที่ 1 จะต้องชำระทันที จำเลยที่ 1 จึงต้องเสียดอกเบี้ยนับแต่วันผิดนัด คือวันที่เกิดการทำละเมิดเป็นต้นไป แต่โจทก์ขอเรียกตั้งแต่วันถัดจากวันฟ้องซึ่งเป็นผลดีแก่จำเลยอยู่แล้ว
พิพากษายืน