แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์ฟ้องจำเลยในตำแหน่งเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงินสำนักงาน ก.พ. ให้รับผิดในยอดเงินขาดบัญชีอยู่ในความรับผิดชอบ ระหว่างพิจารณาปรากฏผลการตรวจสอบครั้งหลังว่ายอดเงินขาดบัญชีมีจำนวนเพิ่มขึ้นอีก 9,600 บาท เช่นนี้ โจทก์ชอบที่จะแก้ไขเพิ่มเติมจำนวนทุนทรัพย์ในฟ้องเดิมตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 179,180 โจทก์จะฟ้องเป็นคดีใหม่อีกต่างหากในเรื่องเดียวกันนี้เป็นการต้องห้ามตามมาตรา 173 (1) และปัญหาอำนาจฟ้องเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อย ฯ ที่ศาลหยิบยกขึ้นวินิจฉัยเองได้ แม้จำเลยจะมิได้ยกขึ้นอ้างในชั้นฎีกา
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ทั้งสองเป็นนิติบุคคลตามกฎหมาย โดยโจทก์ที่ ๑ มีอำนาจหน้าที่เกี่ยวกับราชการทั่วไปสังกัดสำนักงานนายกรัฐมนตรีหรือราชการอื่นซึ่งมิได้อยู่ในอำนาจหน้าที่ของกระทรวงหนึ่งกระทรวงใดโดยเฉพาะ โจทก์ที่ ๒ เป็นส่วนราชการสังกัดโจทก์ที่ ๑ มีอำนาจหน้าที่ตามพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๔๙๗ จำเลยรับราชการเป็นเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงินของสำนักงาน ก.พ. โจทก์ที่ ๒ ตำแหน่งหัวหน้าแผนกและหัวหน้าแผนกเงิน สำนักงานเลขานุการ ระหว่างวันที่ ๒๓ ธันวาคม ๒๕๐๑ ถึงวันที่ ๓ พฤษภาคม ๒๕๐๖ จำเลยบังอาจทุจริตเบียดบังเงินประเภทเงินยืมรองจ่ายของโจทก์จำนวน ๙,๖๐๐ บาท ซึ่งอยู่ในความดูแลรับผิดชอบเป็นของตน โดยใช้วิธีนำเอกสารใบยืม ๔ ฉบับ ของนายสุธี สิงห์เสน่ห์ และนายบำรุง พินธุวัฒน์ ซึ่งเป็นผู้เบิกความเป็นค่าจ้าง ๓ เดือน จำนวนเงิน ๖,๖๐๐ บาท และค่าภาษีอากรสินค้าขาเข้าจำนวนเงิน ๓,๐๐๐ บาท ซึ่งความจริงผู้ยืมทั้งสองได้จัดการส่งใช้หักล้างเงินยืมทั้งสองจำนวนดังกล่าวเรียบร้อยแล้ว เป็นเหตุให้โจทก์หลงเชื่อและสำคัญว่าเงินจำนวนนี้ยังอยู่ที่ผู้ยืมทั้งสอง โจทก์ทราบความทุจริตของจำเลยเมื่อวันที่ ๒๐ กันยายน ๒๕๐๘ ขอให้บังคับจำเลยชำระ
จำเลยให้การต่อสู้ว่า ฟ้องขาดอายุความ ซึ่งต้องนับตั้งแต่วันที่ ๒๖ กรกฎาคม ๒๕๐๕ และคดีนี้ โจทก์ได้ฟ้องจำเลยแล้วตามคดีดำที่ ๑๒๗๑/๒๕๐๗ ซึ่งอยู่ระหว่างการพิจารณา จึงเป็นฟ้องซ้ำ
ก่อนสืบพยานโจทก์ ศาลสอบถามข้อเท็จจริงได้ว่าความว่า หนี้ตามสำนวนคดีนี้โจทก์มิได้ฟ้องไว้ ในคดีดังกล่าว เพียงแต่แสดงบัญชีให้เห็นว่าเป็นหนี้ที่จำเลยส่งหลักฐานใบยืมแทนตัวเงินซึ่งเป็นความจริงหนี้สองจำนวนในคดีนี้เป็นหนี้ที่มีการส่งใช้เงินแล้ว แต่จำเลยอ้างว่ายังไม่ได้ใช้ โดยกลับเบียดบังเอาไปเสีย ศาลจึงสั่งว่ากรณีไม่ใช่เรื่องฟ้องซ้ำดังจำเลยต่อสู้ พิพากษาว่าคดีไม่ขาดอายุความ และไม่เป็นฟ้องซ้ำ ให้จำเลยใช้เงินตามฟ้องแก่โจทก์
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกาว่า คดีโจทก์ขาดอายุความ และโจทก์ชอบที่จะเพิ่มเติมฟ้องในคดีดำที่ ๑๒๗๑/๒๕๐๗ สำหรับเงินจำนวนตามฟ้องคดีนี้ซึ่งโจทก์คำนวณขาดไป
ข้อเท็จจริงได้ความว่า คณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดินได้ตรวจสอบบัญชีสำนักงาน ก.พ. เมื่อวันที่ ๒๖ กรกฎาคม ๒๕๐๕ และตัดยอดถึงวันที่ ๓ พฤษภาคม ๒๕๐๖ ปรากฏว่าเงินขาดบัญชี จำเลยอ้างว่าลงบัญชีไม่ทันและส่งหลักฐานไม่ได้ ต่อมาได้รวบรวมหลักฐานยอดเงินยืมรองจ่ายมาหักล้างเงินยืมที่ขาดบัญชีได้ร่วม ๔๘ ฉบับ ซึ่งรวมทั้งรายนายสุธีและนายบำรุง จำนวน ๙,๖๐๐ บาท ตามฟ้องนี้ด้วย ซึ่งยังขาดอยู่อีก ๘ หมื่นบาทเศษ โจทก์จึงฟ้องจำเลยให้รับผิดในเงินที่ขาดนี้ตามคดีดำที่ ๑๒๗๑/๒๕๐๗ ต่อมาวันที่ ๑๓ กันยายน ๒๕๐๘ หัวหน้ากองคลังรายงานผลการตรวจสอบบัญชีเงินยืมรองจ่ายว่า รายนายสุธีจำนวน ๖,๖๐๐ บาท และนายบำรุงจำนวน ๓,๐๐๐ บาท ได้มีการชดใช้การยืมแล้ว ซึ่งเลขาธิการ ก.พ.รับทราบเมื่อวันที่ ๒๐ กันยายน ๒๕๐๘ และได้สั่งให้ดำเนินการต่อไป
ศาลฎีกาเห็นว่า เมื่อโจทก์ได้ฟ้องจำเลยให้รับผิดในเงินจำนวน ๘ หมื่นบาทเศษที่คณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดินได้ตรวจตัดยอกครั้งแรกตามคดีดำที่ ๑๒๗๑/๒๕๐๗ แล้ว และต่อมาได้ปรากฏว่า เงินยืมรองจ่ายรายนายสุธีและนายบำรุงนั้น ความจริงได้มีการชดใช้คืนแล้ว จำวนเงินที่ขาดจึงเพิ่มขึ้นอีก ๙,๖๐๐ บาท ซึ่งเป็นการตรวจพบภายหลังฟ้องคดีดังกล่าวแล้วย่อมเป็นเรื่องเกี่ยวกับโจทก์ได้ฟ้องในคดีนั้นเอง ซึ่งโจทก์ชอบที่จะขอแก้ไขเพิ่มเติมฟ้องได้ เพราะเป็นการขอเพิ่มพูนทรัพย์ในฟ้องเดิมยังอยู่ระหว่างพิจารณา และมีความเกี่ยวข้อกันตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๑๗๙,๑๘๐ การโจทก์กลับมาฟ้องเป็นคดีใหม่ จึงเป็นการฟ้องในเรื่องเดียวกันในศาลเดียวกันซึ่งต้องห้ามตามมาตรา ๑๗๓ (๑) และปัญหาอำนาจฟ้องเป็นปัญหาเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน แม้จะมิได้ยกขึ้นอ้างอิงในฎีกา ศาลย่อมยกขึ้นเองได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๑๔๒ (๕) กรณีจึงไม่จำต้องวินิจฉัยปัญหาอื่นต่อไป
พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์