คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 180/2509

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

คำสั่งของศาลชั้นต้นที่สั่งไม่อนุญาตให้ผู้ร้องถอนตัวจากการเป็นจำเลยร่วมนั้นเป็นคำสั่งระหว่างพิจารณาหากผู้ร้องไม่เห็นพ้อง ก็มีสิทธิเพียงแต่จะโต้แย้งคำสั่งนั้นไว้เพื่อสิทธิอุทธรณ์ในเมื่อได้พิจารณาหรือมีคำสั่งชี้ขาดตัดสินคดีแล้วเท่านั้น ผู้ร้องจะอุทธรณ์คำสั่งนั้นก่อนศาลมีคำพิพากษาหรือคำสั่งชี้ขาดตัดสินคดีไม่ได้ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 226
เมื่อฝ่ายจำเลยได้โต้แย้งคำสั่งของศาลชั้นต้นในเรื่องนี้เป็นคำสั่งระหว่างพิจารณาให้เป็นประเด็นไว้ในคำแก้อุทธรณ์แล้วแต่ศาลอุทธรณ์มิได้หยิบยกขึ้นวินิจฉัยแม้จะไม่มีฝ่ายใดยกขึ้นกล่าวในชั้นฎีกาก็ตาม ศาลฎีกามีอำนาจหยิบยกขึ้นพิจารณาได้เพราะเป็นปัญหาข้อกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน

ย่อยาว

คดีนี้ โจทก์ฟ้องว่าจำเลยที่ 1 เป็นคอมประโดว์ของธนาคารเกษตรจำกัด สาขาตรัง ได้ทำสัญญาเข้ารับประกันลูกค้าที่จำเลยที่ 1 นำมากู้เบิกเงินเกินบัญชีไปจากโจทก์ บัดนี้ผู้กู้ผิดสัญญาไม่ชำระเงินคืนโจทก์ 5 ราย เป็นเงิน 336,252.28 บาท ขอให้ศาลสั่งยึดทรัพย์สินของจำเลยที่จำนองขายทอดตลาดเอาเงินใช้โจทก์พร้อมด้วยดอกเบี้ย

จำเลยทั้งสองปฏิเสธ

นายดาอี เกกินะ ผู้ร้องยื่นคำร้องว่ามีส่วนได้เสียในผลแห่งคดีนี้ และอาจถูกโจทก์ฟ้องเป็นจำเลยหรืออาจถูกจำเลยที่ 1 ฟ้องเพื่อใช้สิทธิไล่เบี้ย เนื่องจากผู้ร้องได้จำนองทรัพย์ค้ำประกันจำเลยที่ 1 และบุคคลอื่นไว้กับโจทก์จึงขอเข้าเป็นจำเลยร่วมกับจำเลยที่ 2 โจทก์จำเลยไม่คัดค้าน ศาลชั้นต้นสั่งอนุญาต ต่อมานายดาอี เกกินะ ผู้ร้องแต่งทนายใหม่และยื่นคำร้องขอถอนคำร้องขอเข้าเป็นจำเลยร่วม โดยอ้างว่าทำไปเพราะเนื่องจากจำเลยที่ 1 หลอกลวง ศาลชั้นต้นเห็นว่า ผู้ร้องได้แต่งทนายเข้ามาเป็นจำเลยร่วมแม้จะเป็นการผลงผิด แต่นอกจากผู้ร้องจะได้ทำสัญญาจำนองไว้กับโจทก์เพื่อค้ำประกันจำเลยที่ 1 แล้ว ยังเป็นผู้ค้ำประกันผู้กู้เงินจากโจทก์อีก หากจำเลยทั้งสองแพ้คดี ก็มีสิทธิไล่เบี้ยจากผู้ร้องและโจทก์ไม่ยอมให้ผู้ร้องถอนตัวจากการเป็นจำเลยร่วม จำเป็นที่จะเรียกร้องผู้ร้องเข้ามาในคดีเพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรมจึงให้ยกคำร้องของผู้ร้องเสีย ส่วนการขอถอนทนายนั้นอนุญาต

ผู้ร้องอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์เห็นว่า การร้องสอดของผู้ร้องเป็นไปโดยผู้ร้องถูกหลอกลวงหรือไม่ และสมควรจะให้ถอนไปหรือไม่นั้น ไม่จำเป็นต้องพิจารณาเพราะถึงแม้จะเป็นจริง ผู้ร้องก็ต้องเข้ามาเป็นจำเลยในคดีอีกเนื่องจากศาลชั้นต้นพิจารณาเห็นจำเป็น ได้สั่งเรียกผู้ร้องเข้ามาในคดีเพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรม ซึ่งศาลชั้นต้นมีอำนาจกระทำได้จึงพิพากษายืน

ผู้ร้องฎีกาคัดค้านต่อมา

ศาลฎีกาเห็นว่า คำสั่งของศาลชั้นต้นที่สั่งไม่อนุญาตให้ผู้ร้องถอนตัวจากการเป็นจำเลยร่วมนั้น เป็นคำสั่งระหว่างพิจารณากรณีไม่เข้าตามบทมาตรา 227 และ 228 แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ที่ผู้ร้องจะอุทธรณ์ได้ หากผู้ร้องไม่เห็นพ้อง ก็มีสิทธิเพียงแต่จะโต้แย้งคำสั่งนั้นไว้เพื่อใช้สิทธิอุทธรณ์ในเมื่อศาลได้พิพากษาหรือมีคำสั่งชี้ขาดตัดสินคดีแล้วเท่านั้น ผู้ร้องจะอุทธรณ์คำสั่งนั้นก่อนศาลมีคำพิพากษาหรือคำสั่งชี้ขาดตัดสินคดีเช่นในคดีนี้ไม่ได้ ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 226 ฝ่ายจำเลยได้โต้แย้งว่าคำสั่งของศาลชั้นต้นในเรื่องนี้เป็นคำสั่งระหว่างพิจารณาให้เป็นประเด็นไว้ในคำแก้อุทธรณ์แล้วแต่ศาลอุทธรณ์มิได้หยิบยกขึ้นวินิจฉัยแม้จะไม่มีฝ่ายใดยกขึ้นกล่าวไว้ในชั้นศาลฎีกาก็ตาม ศาลฎีกาเห็นว่าในประเด็นข้อนี้เป็นปัญหาข้อกฎหมายเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกามีอำนาจหยิบยกขึ้นพิจารณาได้ว่า เมื่ออุทธรณ์ของผู้ร้องต้องห้ามดังกล่าวแล้ว ศาลอุทธรณ์ก็ไม่มีอำนาจรับพิจารณาอุทธรณ์ของผู้ร้องฉะนั้น ศาลฎีกาจึงรับพิจารณาฎีกาของผู้ร้องไม่ได้

พิพากษาให้ยกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์และฎีกาของผู้ร้องเสีย

Share