แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
ตามพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. 2505 มาตรา 29การสละสมณเพศเพราะถูกจับในข้อหาคดีอาญาแยกได้เป็น 3 กรณี คือ 1. เมื่อพนักงานสอบสวนหรือพนักงานอัยการไม่เห็นสมควรให้ปล่อยชั่วคราวและเจ้าอาวาสไม่ยอมรับตัวไว้ควบคุม พนักงานสอบสวนดำเนินการให้สละสมณเพศได้2. พนักงานสอบสวนหรือพนักงานอัยการเห็นว่าไม่ควร ปล่อยชั่วคราวและไม่ควรมอบตัวให้เจ้าอาวาสรับตัวไป ควบคุม ก็ดำเนินการให้สละสมณเพศได้ และ 3. พระภิกษุ รูปนั้นไม่ได้สังกัดอยู่ในวัดใดวัดหนึ่งหรือเป็นพระจรจัดก็ดำเนินการให้สละสมณเพศได้ กรณีของจำเลยปรากฏว่าร้อยตำรวจโทส.นำจำเลยไปพบพระท.เจ้าอาวาสวัดและมีตำแหน่งเป็นเจ้าคณะและพระภิกษุผู้ใหญ่อีกหลายรูปเพื่อสอบสวนจำเลยแล้วไม่ได้ความชัดว่าขณะนั้นจำเลยจำพรรษาและสังกัดวัดใด จำเลยยินยอมสึกจากการเป็นพระภิกษุโดยเปลื้องจีวร ออกแล้ว แต่งกายด้วยชุดขาวจึงถือได้ว่าจำเลยได้สละสมณเพศแล้วในขณะนั้นตามพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ฯ มาตรา 29 การที่จำเลยอ้างว่ายินยอมเปลื้องจีวร ออกเพื่อต่อสู้คดีไม่เป็นเหตุให้จำเลยซึ่งได้สละสมณเพศแล้วกลับมาเป็นพระภิกษุใหม่อีก ดังนั้นเมื่อภายหลังต่อมาจำเลยกลับมาแต่งกายเป็นพระภิกษุเพื่อให้บุคคลอื่นเชื่อว่าตนเป็นพระภิกษุจึงเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 208
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยบังอาจนำสบง จีวร และอังสะ อันเป็นเครื่องแต่งกายสำหรับพระภิกษุในพุทธศาสนาแต่งกายโดยมิชอบเพื่อให้บุคคลอื่นเชื่อว่าตนเป็นภิกษุในพุทธศาสนา โดยจำเลยไม่มีสิทธิแต่งกายเช่นนั้นได้ เพราะจำเลยได้สละสมณเพศโดยถูกสึกจากการเป็นภิกษุแล้ว ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 208
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 208 จำคุก 6 เดือน พิเคราะห์พฤติการณ์แห่งคดีแล้วไม่สมควรรอการลงโทษ
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ที่จำเลยฎีกาว่า จำเลยอุปสมบทเป็นพระภิกษุโดยถูกต้องมิใช่พระภิกษุปลอม พระเทพศีลวิสุทธิ์เจ้าอาวาสวัดอรุณราชวรารามจึงไม่มีอำนาจให้จำเลยสละสมณเพศตามคำสั่งมหาเถรสมาคมเรื่องห้ามพระภิกษุสามเณรเที่ยวเตร็ดเตร่และพักค้างแรมตามบ้านเรือน พ.ศ. 2521 ข้อ 3(2) ได้ จำเลยยังไม่ขาดจากการเป็นพระภิกษุ จำเลยจึงไม่มีความผิดตามฟ้องนั้นเห็นว่า คดีนี้ต้องห้ามมิให้จำเลยฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 ในการวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายศาลฎีกาต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ศาลอุทธรณ์ฟังมาว่า จำเลยบวชเป็นพระภิกษุที่วัดเฉลิมอาสน์ในปี 2520 เมื่อวันที่ 25 มิถุนายน 2534 ร้อยตำรวจโทเสริมศักดิ์ รุ่งเรืองนำจำเลยไปมอบให้ร้อยตำรวจโทสายนต์ ดีสวัสดิ์ พนักงานสอบสวนสถานีตำรวจนครบาลบางกอกใหญ่ โดยมีนายกศม ยูงทอง ตามไปแจ้งความว่าจำเลยแต่งกายเป็นพระภิกษุโดยมิชอบ และยุ่งเกี่ยวกับนางพูนศรี ยูงทอง ภริยาของนายกศม ร้อยตำรวจโทสายนต์ถามจำเลยเกี่ยวกับหนังสือสุทธิสำหรับพระภิกษุของจำเลย จำเลยบอกว่าหนังสือสุทธิหายไปนานแล้ว ร้อยตำรวจโทสายนต์จึงนำจำเลยไปพบพระเทพศีลวิสุทธิ์ เจ้าอาวาสวัดอรุณราชวรารามและมีตำแหน่งเป็นเจ้าคณะเขตบางกอกใหญ่เพื่อให้สอบสวนจำเลยว่าเป็นพระภิกษุจริงหรือไม่พระเทพศีลวิสุทธิ์และพระภิกษุผู้ใหญ่หลายรูปร่วมกันสอบสวนจำเลย แต่ไม่ได้ความชัดว่าขณะนั้นจำเลยจำพรรษาหรือสังกัดวัดใด พฤติกรรมของจำเลยในขณะนั้นถือได้ว่าเป็นเรื่องพฤติกรรมล่วงละเมิดพระธรรมวินัย พระเทพศีลวิสุทธิ์ขอให้จำเลยสละสมณเพศในที่สุดจำเลยยินยอมแต่งกายด้วยชุดขาวโดยอ้างว่าเพื่อต่อสู้คดี เจ้าพนักงานตำรวจจึงจับจำเลยและแจ้งข้อหาแก่จำเลยว่า จำเลยแต่งกายเป็นพระภิกษุโดยมิชอบ จำเลยให้การปฏิเสธหลังจากนั้นอีก 2 วัน จำเลยได้รับอนุญาตให้ประกันตัวในระหว่างสอบสวนจำเลยได้แต่งกายเป็นพระภิกษุโดยมิได้อุปสมบทใหม่ ครั้นถึงวันที่ 14 กรกฎาคม 2534จำเลยนำหนังสือสุทธิของจำเลยไปแสดงต่อพนักงานสอบสวนพนักงานสอบสวนมีความเห็นไม่ฟ้องจำเลย และพนักงานอัยการสั่งไม่ฟ้องจำเลย ต่อมาวันที่ 23 มีนาคม 2537 นายกศมและพระครูวรกิจจานุกูล เจ้าคณะแขวงคันนายาว ซึ่งเป็นพระวินยาธิการกองงานเลขานุการ เจ้าคณะกรุงเทพมหานครไปแจ้งความต่อพันตำรวจโทเอนก ไพศรีพนักงานสอบสวนสถานีตำรวจนครบาลท่าพระว่า จำเลยสึกจากการเป็นพระภิกษุแล้วยังแต่งกายเป็นพระภิกษุและพักอาศัยอยู่ที่ตึกแถว เมื่อไปที่ตึกแถวตามที่ได้รับแจ้งจากนายกศมก็พบจำเลยแต่งกายเป็นพระภิกษุอยู่กับนางพูนศรี และบุตรสาวอีก 2 คน ได้พบหนังสือและวีดีโอลามกด้วยเจ้าพนักงานตำรวจได้จับจำเลยมาดำเนินคดี มีปัญหาต้องวินิจฉัยว่าการกระทำของจำเลยเป็นความผิดตามฟ้องหรือไม่ ในการวินิจฉัยปัญหาดังกล่าวสมควรวินิจฉัยก่อนว่า เมื่อวันที่ 25 มิถุนายน 2534พระเทพวิสุทธิ์เจ้าอาวาสวัดอรุณราชวรารามและมีตำแหน่งเป็นเจ้าคณะเขตบางกอกใหญ่ได้สอบสวนจำเลยที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นพระภิกษุปลอมและยุ่งเกี่ยวกับนางพูนศรีภริยาของนายกศมแล้วขอให้จำเลยสละสมณเพศ การที่จำเลยยินยอมเปลื้องจีวรออกแล้ว แต่งกายด้วยชุดขาวแทน ถือว่าจำเลยสละสมณเพศหรือพ้นจากการเป็นพระภิกษุแล้วหรือไม่ ตามพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. 2505มาตรา 29 ที่ใช้บังคับอยู่ขณะนั้นบัญญัติว่า “พระภิกษุรูปใดถูกจับโดยต้องหาว่ากระทำความผิดอาญา เมื่อพนักงานสอบสวนหรือพนักงานอัยการไม่เห็นสมควรให้ปล่อยชั่วคราวและเจ้าอาวาสแห่งวัดที่พระภิกษุรูปนั้นสังกัดไม่รับมอบตัวไว้ควบคุมหรือพนักงานสอบสวนไม่เห็นสมควรให้เจ้าอาวาสรับตัวไปควบคุมหรือพระภิกษุรูปนั้นมิได้สังกัดในวัดใดวัดหนึ่งให้พนักงานสอบสวนมีอำนาจจัดดำเนินการให้พระภิกษุรูปนั้นสละสมณเพศเสียได้” เห็นว่าตามบทกฎหมายดังกล่าวการสละสมณเพศเพราะถูกจับในข้อหาคดีอาญาแยกได้เป็น 3 กรณี คือ 1. เมื่อพนักงานสอบสวนหรือพนักงานอัยการไม่เห็นสมควรให้ปล่อยชั่วคราวและเจ้าอาวาสไม่ยอมรับตัวไว้ควบคุมพนักงานสอบสวนดำเนินการให้สละสมณเพศได้ 2. พนักงานสอบสวนหรือพนักงานอัยการเห็นว่าไม่ควรปล่อยชั่วคราวและไม่ควรมอบตัวให้เจ้าอาวาสรับตัวไปควบคุมก็ดำเนินการให้สละสมณเพศได้ และ3. พระภิกษุรูปนั้นไม่ได้สังกัดอยู่ในวัดใดวัดหนึ่งหรือเป็นพระจรจัดก็ดำเนินการให้สละสมณเพศได้ กรณีของจำเลยเมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่าในวันที่ 25 มิถุนายน 2534 ร้อยตำรวจโทเสริมศักดิ์นำจำเลยไปมอบให้ร้อยตำรวจโทสายนต์พนักงานสอบสวนสถานีตำรวจนครบาลบางกอกใหญ่ โดยมีนายกศมแจ้งว่าจำเลยแต่งกายเป็นพระภิกษุโดยมิชอบและยุ่งเกี่ยวกับนางพูนศรีภริยาของนายกศมร้อยตำรวจโทสายนต์จึงนำจำเลยไปพบพระเทพศีลวิสุทธิ์เจ้าอาวาสวัดอรุณราชวรารามและมีตำแหน่งเป็นเจ้าคณะเขตบางกอกใหญ่และพระภิกษุผู้ใหญ่อีกหลายรูปเพื่อสอบสวนจำเลยแล้วไม่ได้ความชัดว่าขณะนั้นจำเลยจำพรรษาและสังกัดวัดใด จำเลยยินยอมสึกจากการเป็นพระภิกษุโดยเปลื้องจีวร ออกแล้ว แต่งกายด้วยชุดขาวกรณีเห็นได้แจ้งชัดว่าจำเลยถูกกล่าวหาว่ากระทำผิดอาญาและพนักงานสอบสวนไม่เห็นสมควรให้ปล่อยชั่วคราวทั้งจำเลยมิได้สังกัดในวัดใดวัดหนึ่งพนักงานสอบสวนก็ได้ดำเนินการให้จำเลยสละสมณเพศโดยนำจำเลยไปพบพระเทพศีลวิสุทธิ์และพระภิกษุผู้ใหญ่อีกหลายรูปเพื่อทำการสึกจำเลยจากการเป็นพระภิกษุ การที่จำเลยยินยอมเปลื้องจีวร ออกแล้ว แต่งกายด้วยชุดขาวเช่นนี้ถือได้ว่าจำเลยได้สละสมณเพศแล้ว ในขณะนั้นตามพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. 2505 มาตรา 29 ซึ่งสอดคล้องกับคำเบิกความของพระธรรมสิริชัยหรือพระเทพศีลวิสุทธิ์เจ้าอาวาสวัดอรุณราชวรารามและเป็นรองเจ้าคณะกรุงเทพมหานครพระมหาสมเกียรติ โววิโท ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดอรุณราชวรารามและพระมหาเสวย ชนสโภ ว่า พระภิกษุที่ไม่ปฏิบัติตามพระธรรมวินัยหรือต้องปาราชิก จะขาดจากการเป็นพระภิกษุทันทีโดยเจ้าคณะเขตหรือเจ้าคณะตำบลหรือเจ้าคณะแขวงสามารถให้พระภิกษุรูปนั้นสึกได้โดยไม่ต้องกล่าวคำอำลา สิกขา ที่จำเลยอ้างว่ายินยอมเปลื้องจีวรออกเพื่อต่อสู้คดีก็ไม่เป็นเหตุให้จำเลยซึ่งได้สละสมณเพศแล้วกลับมาเป็นพระภิกษุใหม่อีก และด้วยเหตุดังกล่าวจึงเห็นว่าการที่จำเลยแต่งกายเป็นพระภิกษุเพื่อให้บุคคลอื่นเชื่อว่าตนเป็นพระภิกษุเป็นการกระทำที่เป็นความผิดตามฟ้อง เมื่อได้วินิจฉัยว่าจำเลยได้สละสมณเพศแล้ว กรณีไม่จำต้องวินิจฉัยฎีกาข้ออื่นของจำเลยต่อไป เพราะไม่ทำให้ผลคดีเปลี่ยนแปลงศาลล่างทั้งสองพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดนั้นชอบแล้ว แต่ที่ศาลล่างทั้งสองใช้ดุลพินิจลงโทษจำคุกจำเลย 6 เดือนนั้นหนักเกินไป ศาลฎีกาเห็นสมควรกำหนดโทษเสียใหม่ให้เหมาะสม แต่ตามพฤติการณ์แห่งคดีไม่สมควรรอการลงโทษให้จำเลย ฎีกาจำเลยฟังขึ้นบางส่วน”
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำคุกจำเลย 3 เดือน นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์