แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
บทบัญญัติมาตรา 321 วรรคท้ายมิได้จำกัดว่า ต้องเป็นกรณีผู้ทรงได้นำตั๋วเงินไปยื่นเพื่อให้ใช้เงินแล้ว แต่ผู้จ่ายปฏิเสธการจ่ายเงินหนี้เดิมจึงจะไม่ระงับ แม้โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้เป็นผู้ทำเช็คที่จำเลยโอนชำระหนี้หายไป จึงมิได้นำเช็คไปยื่นเพื่อให้ใช้เงิน และไม่มีการใช้เงินตามเช็คนั้นก็อยู่ในบังคับของมาตรานี้ อันมีผลว่าหนี้เดิมยังไม่ระงับไปเช่นเดียวกัน การที่โจทก์เพิ่งแจ้งเหตุขัดข้องในการเรียกเก็บเงินตามเช็คดังกล่าวให้จำเลยทราบ จำเลยจะได้รับความเสียหายอย่างไรหรือไม่ ย่อมเป็นอีกส่วนหนึ่งต่างหากจากมูลหนี้เดิม เมื่อมูลหนี้ดังกล่าวยังมีอยู่ไม่ระงับไป จำเลยย่อมมีหน้าที่ต้องชำระหนี้นั้นให้แก่โจทก์
โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยชำระเงินตามตั๋วสัญญาใช้เงินที่จำเลยเป็นผู้ออกข้อเท็จจริงได้ความว่า จำเลยมอบเช็คซึ่งมี อ. เป็นผู้สั่งจ่ายให้แก่โจทก์เพื่อชำระหนี้ตามตั๋วสัญญาใช้เงินในวันเดียวกันกับที่จำเลยออกตั๋วสัญญาใช้เงิน เช็คนั้นถึงกำหนดใช้เงินก่อนตั๋วสัญญาใช้เงินถึงกำหนดใช้เงิน อ. มีฐานะการเงินเป็นที่เชื่อถือในวงการค้า เชื่อได้ว่าหากโจทก์นำเช็คดังกล่าวไปขึ้นเงินโจทก์ก็จะได้รับชำระหนี้ตามตั๋วสัญญาใช้เงินนั้น แต่โจทก์หาได้กระทำไม่ พฤติการณ์ดังกล่าวโจทก์ผู้เป็นเจ้าหนี้จึงตกเป็นผู้ผิดนัด ซึ่งตามมาตรา 221 มิให้คิดดอกเบี้ยในระหว่างนั้น จำเลยจึงไม่ต้องชำระดอกเบี้ยแก่โจทก์นับแต่วันที่ตั๋วสัญญาใช้เงินถึงกำหนดใช้เงิน
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 15 ตุลาคม 2517 จำเลยได้ออกตั๋วสัญญาใช้เงินเป็นเงิน 90,000 บาท คิดดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 15 ต่อปี โดยตกลงจะใช้เงินตามตั๋วสัญญาใช้เงินให้แก่โจทก์ภายในกำหนด 7 วัน นับแต่วันออกตั๋วสัญญาใช้เงินเป็นต้นไป ครั้นครบกำหนดชำระเงินตามตั๋วสัญญาใช้เงินแล้วจำเลยไม่ชำระเงินให้โจทก์ โจทก์คิดดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปีของเงิน 90,000 บาท นับแต่วันที่ 22 ตุลาคม 2517 อันเป็นวันผิดนัดถึงวันก่อนฟ้องเป็นเวลา 1 ปี 11 เดือน 6 วัน เป็นเงิน 26,100 บาท ขอให้ศาลพิพากษาให้จำเลยชำระเงินตามตั๋วสัญญาใช้เงินและดอกเบี้ยรวมเป็นเงิน 116,100บาทแก่โจทก์ พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ของต้นเงิน 90,000 บาทนับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจำเลยจะชำระเงินแก่โจทก์เสร็จ
จำเลยให้การว่า ได้ยกตั๋วสัญญาใช้เงินตามฟ้องให้โจทก์จริง แต่จำเลยได้ชำระหนี้ให้โจทก์เรียบร้อยแล้ว โดยชำระเป็นเช็คของธนาคารกรุงไทย จำกัดลงวันที่ 15 ตุลาคม 2517 ซึ่งเป็นเช็คของนายอุดม แซ่เตีย เป็นผู้ลงนามสั่งจ่ายเงิน จำเลยโอนเช็คนั้นชำระหนี้ให้โจทก์ โจทก์รับชำระหนี้ไว้โดยชอบแล้ว และได้มีการแปลงหนี้ใหม่โดยโจทก์รับเอาเช็คดังกล่าวเป็นการชำระหนี้แล้ว หนี้เดิมซึ่งโจทก์ฟ้องจำเลยย่อมระงับไป โจทก์ไม่มีสิทธิฟ้องจำเลยอีก
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษาให้จำเลยชำระเงินตามตั๋วสัญญาใช้เงินพร้อมดอกเบี้ยนับแต่วันตั๋วสัญญาใช้เงินถึงกำหนดถึงวันฟ้องเป็นเวลา 1 ปี 11 เดือน 6 วัน ในอัตราร้อยละ 15 ต่อปี เป็นจำนวนเงิน 26,100 บาท รวมเป็นเงิน 116,100 บาท และดอกเบี้ยร้อยละ 15 ต่อปีในต้นเงิน 90,000 บาท นับแต่วันฟ้องจนถึงวันที่จำเลยชำระหนี้ให้โจทก์เสร็จสิ้น
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ได้ความว่าเมื่อวันที่ 15 ตุลาคม 2517 จำเลยได้ออกตั๋วสัญญาใช้เงินเอกสารหมาย จ.3 ที่พิพาทจำนวนเงิน 90,000 บาท ดอกเบี้ยร้อยละ 15 ต่อปีกำหนดชำระเงินภายใน 7 วันให้แก่ธนาคารโจทก์สาขาพระพุทธบาท วันเดียวกันจำเลยมอบเช็คธนาคารกรุงไทย จำกัด สาขาลำนารายณ์ เลขที่ 513871จำนวน 90,000 บาท ซึ่งนายอุดมเป็นผู้สั่งจ่ายแก่ผู้ถือให้ธนาคารโจทก์ สาขาพระพุทธบาทไว้ด้วย ต่อมาวันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2519 ธนาคารโจทก์ได้มอบให้นายสุทธะแจ้งต่อพนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรอำเภอพระพุทธบาทว่าเช็คเลขที่ 513871 หายไป ครั้นวันที่ 25 พฤษภาคม 2519 ทนายโจทก์ได้มีหนังสือตามสำเนาท้ายฟ้องทวงถามให้จำเลยชำระหนี้ตามตั๋วสัญญาใช้เงินที่พิพาทแก่โจทก์ภายในวันที่ 30 มิถุนายน 2519 จำเลยไม่ชำระโจทก์จึงฟ้องคดีนี้ นายอุดมมีฐานะการเงินในบัญชีของธนาคารเป็นที่เชื่อถือในวงการค้าเช็คเลขที่ 513871 ยังไม่มีการนำไปเบิกเงินจากธนาคารกรุงไทย จำกัดสาขาลำนารายณ์
ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยมอบเช็คเลขที่ 51871 ให้แก่โจทก์เพื่อชำระหนี้ตามตั๋วสัญญาใช้เงิน เป็นการชำระหนี้ตามมาตรา 321 มิใช่เป็นการระงับหนี้เดิมโดยการเปลี่ยนสั่งซึ่งเป็นสารสำคัญแห่งหนี้ หรือเปลี่ยนตัวลูกหนี้ อันจะเป็นการแปลงหนี้ใหม่และโจทก์ได้ทำเช็คดังกล่าวหายไป
วินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายว่า ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 321 วรรคท้าย บัญญัติว่า “ถ้าชำระหนี้ด้วยออก ด้วยโอน หรือด้วยสลักหลังตั๋วเงิน ฯลฯ ท่านว่าหนี้นั้นจะระงับสิ้นไปต่อเมื่อตั๋วเงิน ฯลฯนั้นได้ใช้เงินแล้ว” เห็นว่าบทบัญญัตินี้มิได้จำกัดว่า ต้องเป็นกรณีผู้ทรงได้นำตั๋วเงินไปยื่นเพื่อให้ใช้เงินแล้ว แต่ผู้จ่ายปฏิเสธการจ่ายเงินหนี้เดิมจึงจะไม่ระงับ แม้โจทก์เป็นผู้ทำเช็คหายไปจึงมิได้นำเช็คไปยื่นเพื่อให้ใช้เงินและไม่มีการใช้เงินตามเช็คนั้น ก็อยู่ในบังคับของมาตรา 321 วรรคท้ายแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ อันมีผลว่าหนี้เดิมตามตั๋วสัญญาใช้เงินยังไม่ระงับไปเช่นเดียวกัน ส่วนที่จำเลยอ้างว่าโจทก์เพิ่งแจ้งเหตุขัดข้องในการเรียกเก็บเงินตามเช็คให้จำเลยทราบ ก่อให้เกิดความเสียหายแก่จำเลยนั้น เห็นว่า ปัญหาเรื่องจำเลยได้รับความเสียหายอย่างไรหรือไม่ กรณีนี้เป็นอีกส่วนหนึ่งต่างหากจากมูลหนี้ตามตั๋วสัญญาใช้เงินที่โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยชำระ เมื่อมูลหนี้ดังกล่าวยังมีอยู่ไม่ระงับไป จำเลยย่อมมีหน้าที่ต้องชำระเงินตามตั๋วสัญญาใชเ้งินนั้นแก่โจทก์
จำเลยฎีกาเป็นประการสุดท้ายว่า จำเลยไม่ได้เป็นผู้ผิดนัดจึงต้องเสียดอกเบี้ยแก่โจทก์นับตั้งแต่วันที่ 30 มิถุนายน 2519 หาใช่วันที่ 22 ตุลาคม2517 ไม่ พิเคราะห์แล้วข้อเท็จจริงได้ความว่า จำเลยมอบเช็คเลขที่ 513871ซึ่งมีนายอุดมเป็นผู้สั่งจ่ายให้แก่โจทก์เพื่อชำระหนี้ตามตั๋วสัญญาใช้เงินในวันเดียวกันกับที่จำเลยออกตั๋วสัญญาใช้เงิน เช็คนั้นลงวันที่ 15 ตุลาคม2517 อันเป็นเวลาก่อนตั๋วสัญญาใช้เงินถึงกำหนดใช้เงิน นายอุดมมีฐานะการเงินเป็นที่เชื่อถือในวงการค้าเชื่อได้ว่าหากโจทก์นำเช็คดังกล่าวไปขึ้นเงินโจทก์ก็จะได้รับชำระหนี้ตามตั๋วสัญญาใช้เงินนั้น แต่โจทก์หาได้กระทำไม่พฤติการณ์เช่นนี้เห็นว่าโจทก์ผู้เป็นเจ้าหนี้ตกเป็นผู้ผิดนัดซึ่งตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 221 มิให้คิดดอกเบี้ยในระหว่างนั้นจำเลยจึงไม่ต้องเสียดอกเบี้ยแก่โจทก์นับตั้งแต่วันที่ 22 ตุลาคม 2517
พิพากษาแก้คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ว่า ให้จำเลยชำระดอกเบี้ยนับแต่วันที่ 30 มิถุนายน 2519 จนถึงวันที่จำเลยชำระหนี้ให้โจทก์เสร็จสิ้น นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์