คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1767/2506

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

(1) จำเลยไม่ส่งสำเนาเอกสารที่อ้างให้แก่โจทก์ก่อนวันสืบพยาน 3 วัน อันเป็นการฝ่าฝืนประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 90 และโจทก์ได้คัดค้านไว้นั้น ย่อมรับฟังเป็นพยานหลักฐานไม่ได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 86
(2) การที่จำเลยให้โจทก์ออกเงินและสิ่งของให้จำเลยผู้เป็นหุ้นส่วนกันไปทำโรงหีบอ้อย โดยจำเลยตกลงส่งน้ำตาลเชื่อมมาขายให้แก่โจทก์แล้วคิดหักบัญชีกันเป็นครั้งคราวนั้น เป็นนิติกรรมสัญญาอย่างหนึ่ง แต่ไม่ใช่การกู้ยืมเงินตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 650,653 ฉะนั้น แม้ไม่ได้ทำหลักฐานเป็นหนังสือ ลงลายมือชื่อจำเลยไว้เมื่อคดีฟังได้ว่าจำเลยซึ่งเป็นหุ้นส่วนกันเป็นลูกหนี้โจทก์อยู่ตามสัญญานั้นแล้ว จำเลยก็ต้องร่วมกันรับผิดชำระหนี้แก่โจทก์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1050
หมายเหตุ คำพิพากษาฎีกาตามข้อ 2 นี้ มีนัยเทียบได้กับฎีกาที่ 874/2477 ซึ่งวินิจฉัยว่าเป็นซื้อของเชื่อไม่ใช่สัญญากู้เงิน

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยเข้าทุนกันเป็นหุ้นส่วนสามัญไม่ได้จดทะเบียน ตั้งโรงหีบอ้อยและได้ตกลงกับโจทก์ให้ออกเงินและสิ่งของให้จำเลยเพื่อเป็นทุนในการทำโรงหีบนี้ไปก่อนแล้วจำเลยจะหีบอ้อยส่งน้ำตาลมาขายให้โจทก์ หักกับเงินและสิ่งของที่มอบให้จำเลยไป เมื่อหักบัญชีกันแล้วฝ่ายใดเป็นลูกหนี้ก็ต้องชำระแก่อีกฝ่ายจนครบ เมื่อหักบัญชีแล้วจำเลยเป็นหนี้โจทก์ ๔๙,๓๐๙.๘๗ บาท ขอให้บังคับจำเลยทั้งสามร่วมกันใช้เงินดังกล่าวพร้อมทั้งดอกเบี้ย
จำเลยที่ ๑,๒ ให้การปฏิเสธหลายประการ ส่วนจำเลยที่ ๓ ให้การรับผิดตามฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วฟังว่าจำเลยทั้งสามเป็นหุ้นส่วนกันและทำสัญญาให้โจทก์ออกทุนให้ทำโรงหีบอ้อยโดยจำเลยส่งน้ำตาลมาชำระหนี้ เมื่อคิดบัญชีแล้วจำเลยยังเป็นหนี้โจทก์อยู่ ๔๙,๓๐๙ บาท ๘๗ สตางค์ พิพากษาให้ร่วมกันชำระเงินจำนวนนี้แก่โจทก์
จำเลยที่ ๑,๒ อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยที่ ๑,๒ ฎีกา
ศาลฎีกาเชื่อตามคำพยานโจทก์ว่าจำเลยทั้งสามเป็นหุ้นส่วนทำโรงหีบอ้อยแล้วตกลงทำสัญญากันดั่งฟ้อง
ที่จำเลยที่ ๑,๒ อ้างว่า จำเลยที่ ๒ ให้จำเลยที่ ๑ เช่าที่ดินของจำเลยที่ ๒ ตั้งโรงหีบและปลูกอ้อยโดยอ้างหนังสือเช่าลงวันที่ ๑๐ มิถุนายน ๒๕๐๒ นั้น จำเลยไม่ได้ส่งสำเนาให้โจทก์ก่อนวันสืบพยาน ๓ วัน เป็นการฝ่าฝืนประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา ๙๐ โจทก์ได้แถลงคัดค้านไว้จึงรับเป็นพยานหลักฐานเช่นนั้นไม่ได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งและพาณิชย์มาตรา ๔๖ จึงฟังไม่ได้ว่าจำเลยที่ ๒ เป็นเพียงผู้ให้เช่าที่ดินตั้งโรงหีบอ้อย+ต่อสู้
ปัญหาข้อกฎหมายซึ่งจำเลยที่ ๑,๒ ฎีกาว่า จำเลยนี้ไม่ได้ทำหนังสือลงลายมือชื่อกู้เงินโจทก์ไป จะฟ้องบังคับแก่จำเลยทั้งสองนี้ไม่ได้นั้น ศาลฎีกาเห็นว่า ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าโจทก์กับจำเลยตกลงกันให้โจทก์ออกเงินและสิ่งของให้จำเลยซึ่งเป็นหุ้นส่วนกันไปทำโรงหีบอ้อย โดยจำเลยแถลงว่าจะส่งน้ำตาลน้ำเชื่อมมาขายให้แก่โจทก์แล้วคิดหักบัญชีกันเป็นครั้งคราว ความตกลงเช่นนี้ก็เป็นนิติกรรมสัญญาอย่างหนึ่ง แต่ไม่ใช่การกู้ยืมเงินตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา ๖๕๐,๖๕๓ แม้จำเลยที่ ๑,๒ จะไม่ได้ทำหลักฐานเป็นหนังสือลงลายมือชื่อไว้ เมื่อคดีฟังได้ว่าจำเลยซึ่งเป็นหุ้นส่วนกันเป็นลูกหนี้โจทก์อยู่ตามสัญญานั้นแล้ว จำเลยก็ต้องร่วมกันรับผิดชำระหนี้แก่โจทก์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๐๕๐ ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษามาชอบแล้ว
พิพากษายืน

Share