แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยที่ 1 รับมรดกที่ดิน ซึ่งเจ้าของจะขายให้โจทก์รับชำระราคาแล้ว แต่อยู่ระหว่างขอแบ่งแยกเพื่อโอนทางทะเบียน จำเลยที่ 1 ขายให้จำเลยที่ 3 โดยรู้ว่าไม่สามารถชำระหนี้ แม้ที่ดินนอกพิพาทก็ขายคนอื่นไปแล้วย่อมเป็นการทำให้โจทก์เสียเปรียบ ถ้าจำเลยที่ 3รู้ถึงความข้อนี้ โจทก์ก็ขอเพิกถอนได้ แต่ไม่ใช่ตามมาตรา 1300 เพราะโจทก์มีแต่บุคคลสิทธิ ไม่มีสิทธิที่จะร้องขอจดทะเบียนสิทธิได้เองตามลำพัง
ย่อยาว
คดีเรื่องนี้ โจทก์ฟ้องกล่าวความว่า ที่ดินโฉนดที่ 3332 เนื้อที่ 92 ตารางวา ตำบลวัดกัลยาณ์ อำเภอธนบุรี จังหวัดธนบุรีเป็นกรรมสิทธิ์ของนางนวม เมื่อวันที่ 1 เมษายน 2496 นางนวมได้ทำหนังสือสัญญาแบ่งขายส่วนหนึ่งของที่ดินดังกล่าวให้โจทก์ประมาณเนื้อที่ 37 ตารางวาคิดเป็นราคาเงิน 12,000 บาท ปรากฏตามสำเนาหนังสือสัญญาจะซื้อขายท้ายฟ้อง ต่อมาวันที่ 23 เมษายน 2497นางนวมได้ยื่นคำขอต่อสำนักงานที่ดินธนบุรีขอแบ่งแยกส่วนที่จะขายนั้นเพื่อโอนขายให้โจทก์ตามสัญญาแล้ว แต่การแบ่งแยกดังกล่าวยังไม่เสร็จเรียบร้อย เนื่องจากการรังวัดของเจ้าหน้าที่ นางนวมก็ถึงแก่กรรมเสียก่อน เมื่อวันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2498 ที่ดินทั้งแปลงตกเป็นมรดกแก่จำเลยที่ 1 ผู้เป็นหลานของนางนวมตามพินัยกรรม จำเลยที่ 1 ทราบดีในเรื่องสัญญาจะซื้อขายของโจทก์กับนางนวมรายนี้
ต่อมาวันที่ 15 กรกฎาคม 2498 จำเลยทั้งสามสมคบกันโอนขายที่ดินดังกล่าวทั้งโฉนดให้แก่จำเลยที่ 3 โดยจำเลยที่ 1มอบฉันทะให้จำเลยที่ 2 เป็นผู้โอนขายให้แก่จำเลยที่ 3 ซึ่งเป็นบุตรของจำเลยที่ 2 เอง โดยจำเลยทั้งสามรู้ดีอยู่แล้วว่านางนวมได้แบ่งขายเฉพาะส่วนให้แก่โจทก์แล้ว และโจทก์อยู่ในฐานะที่จะจดทะเบียนสิทธิของโจทก์ได้ดีกว่าจำเลย จำเลยทั้งสามสมคบโอนขายแก่กันอันเป็นการฉ้อฉล กระทำลงโดยรู้อยู่ว่าเป็นทางให้โจทก์ผู้เป็นเจ้าหนี้เสียเปรียบและเสียหาย อีกทั้งมิได้ชำระเงินราคาแก่กัน ซึ่งความจริงจำเลยที่ 2 เป็นตัวการลอบซื้อแต่ด้วยอุบายทุจริตเชิดจำเลยที่ 3 ผู้เป็นบุตรออกหน้าเป็นผู้ซื้อเพื่อฉ้อโกงโจทก์ เป็นการแอบอ้างเพื่อใช้สิทธิของบุคคลภายนอกมายันโจทก์โดยมิชอบด้วยกฎหมาย จึงขอให้ศาลเพิกถอนสัญญาซื้อขายซึ่งได้จดทะเบียนไว้ใน โฉนดที่ 3332 เนื้อที่ 37 ตารางวารายนี้ระหว่างจำเลยที่ 1กับจำเลยที่ 3 ให้กลับคืนเป็นของจำเลยที่ 1 ให้จำเลยที่ 1 จัดการแบ่งแยกที่ดิน 37 ตารางวารายนี้แล้วโอนกรรมสิทธิ์ให้โจทก์ตามสัญญาถ้าจำเลยที่ 1 ชัดขึ้นก็ขอให้ศาลสั่งโดยถือเอาคำพิพากษาของศาลเป็นการแสดงเจตนาของจำเลยที่ 1 ถ้าจำเลยที่ 1 ไม่สามารถโอนได้ก็ขอให้จำเลยที่ 1 คืนเงิน 12,000 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7 ครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้องให้โจทก์จำเลยที่ 1 รับรองความจริงตามฟ้องของโจทก์ และเต็มใจโอนที่ดินตามฟ้องให้แก่โจทก์เสมอ จำเลยที่ 1 มิได้ขายที่ดินให้แก่จำเลยที่ 3 และไม่เคยรับเงินราคาอย่างใด หากเป็นโดยจำเลยที่ 1 ไม่รู้ระเบียบในการโอนรับมรดกที่ดิน จึงเซ็นใบมอบฉันทะให้จำเลยที่ 2 ซึ่งจำเลยที่ 1 นับถือเรียกว่าพ่อ ให้ช่วยจัดการให้แทนโดยตลอด จำเลยที่ 2 กลับเอาใบมอบฉันทะนั้นไปกรอกข้อความโอนขายให้แก่จำเลยที่ 3 ผู้เป็นบุตรสาวของจำเลยที่ 2 ไป โดยจำเลยที่ 1 มิได้รู้เห็นยินยอม
จำเลยที่ 2 และจำเลยที่ 3 ต่อสู้ว่าไม่เคยทราบเรื่องการซื้อขายที่ดินระหว่างโจทก์กับนางนวม จำเลยที่ 3 ได้รับซื้อที่ดินโฉนดที่ 3332 ทั้งแปลงจากจำเลยที่ 1 เป็นเงิน 60,000 บาท โดยสุจริต มิได้สมคบกันฉ้อฉลโจทก์อย่างใด โจทก์ไม่มีสิทธิ์จะขอให้เพิกถอนการจดทะเบียนนั้นได้
ศาลชั้นต้นทำการพิจารณาแล้วฟังข้อเท็จจริงว่า นางนวมเจ้าของเดิมได้ทำหนังสือสัญญาจะขายที่ดินรายพิพาทให้แก่โจทก์ และได้รับชำระเงินราคา12,000 บาท ไปครบถ้วนจริงตามฟ้องของโจทก์จนกระทั่งนางนวมได้ร้องขอแบ่งแยกโฉนด ที่ดินรายนี้เพื่อจะโอนขายให้แก่โจทก์แล้ว แต่การรังวัดแบ่งแยกยังไม่ทันสำเร็จ นางนวมก็ถึงแก่ความตายไปเสียก่อน จำเลยที่ 3 ได้รับซื้อที่ดินโฉนดที่ 3332 ทั้งแปลงจากจำเลยที่ 1 ผู้รับมรดกตามพินัยกรรมของนางนวมโดยสุจริตและเสียค่าตอบแทนทั้งได้จดทะเบียนโดยสุจริตแล้ว และจำเลยที่ 2 มิได้กระทำผิดต่อหน้าที่ประการใด โจทก์จะขอให้เพิกถอนการซื้อขายนั้นไม่ได้จึงพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ผู้รับมรดกของนางนวมคืนเงิน 12,000 บาทกับดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะคืนเงินเสร็จแก่โจทก์ คำขออื่นที่เกี่ยวกับจำเลยที่ 1 ให้ยกเสีย และให้ยกฟ้องของโจทก์ที่เกี่ยวกับจำเลยที่ 2 และจำเลยที่ 3
โจทก์และจำเลยที่ 1 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์เห็นพ้องตามคำวินิจฉัยของศาลชั้นต้นว่าจำเลยที่ 2 มิได้กระทำผิดหน้าที่ตามใบมอบอำนาจนั้น อุทธรณ์ของจำเลยที่ 1 จึงฟังไม่ได้สำหรับอุทธรณ์ของโจทก์นั้นเห็นว่านางนวมได้ขอแบ่งแยกที่ดินไว้แล้ว และในคำขอลงวันที่ 23 เมษายน 2497 กล่าวชัดว่าแบ่งแยกเพื่อขายให้นายเชื้อ คือ โจทก์ ซึ่งจำเลยที่ 2 รู้ดีอยู่แล้วและจำเลยที่ 2 เป็นบิดาของจำเลยที่ 3 อยู่เองเหตุผลน่าเชื่อว่าจำเลยที่ 3 ต้องรู้เห็นในเรื่องนี้ด้วย ก็เมื่อจำเลยที่ 3 ยังขืนซื้อที่ดินรายพิพาทนี้จึงเป็นการซื้อโดยสุจริตไปไม่ได้ โจทก์อยู่ในฐานะที่จะเรียกให้จดทะเบียนสิทธิได้อยู่ก่อนแล้ว มีสิทธิที่จะเรียกให้เพิกถอนการจดทะเบียนการโอนระหว่างจำเลยที่ 1 กับจำเลยที่ 3 เฉพาะที่ดินรายพิพาทนี้ได้ จึงพิพากษาแก้คำพิพากษาศาลชั้นต้นให้เพิกถอนการโอนขายที่ดินโฉนดที่ 3332 ระหว่างจำเลยที่ 1 กับจำเลยที่ 3 เฉพาะส่วน 37 ตารางวารายนี้ และให้จำเลยที่ 1จดทะเบียนโอนขายให้โจทก์ ถ้าไม่สามารถโอนได้ให้จำเลยที่ 1 ใช้เงิน 12,000 บาทกับดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีตั้งแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จให้ยกฟ้องโจทก์เฉพาะจำเลยที่ 2 และยกอุทธรณ์ของจำเลยที่ 1
จำเลยที่ 3 ผู้เดียวฎีกาต่อมา
ศาลฎีกาได้ฟังคำแถลงการณ์ของทนาย จำเลยที่ 3 และทนายโจทก์และตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว
ฎีกาของจำเลยที่ 3 ข้อ 2(ก) และ (ข) ที่กล่าวอ้างถึงเรื่องการขายฝากรายนางลูกอินตลอดจนกรรมสิทธิ์ในที่ดินควรจะตกอยู่แก่ใครอันจะเป็นเหตุให้ขายแก่โจทก์ได้หรือไม่นั้น ปัญหาเหล่านี้จำเลยมิได้เคยยกขึ้นว่ากล่าวให้เป็นข้อต่อสู้ไว้ในศาลชั้นต้น แม้ในชั้นศาลอุทธรณ์ก็ไม่ได้เสนอขึ้นมา เพิ่งจะได้ยกขึ้นอ้างเป็นครั้งแรกในชั้นฎีกานี้เท่านั้น ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 149 ศาลฎีกาจึงไม่รับวินิจฉัย
อนึ่ง ฎีกาข้อ 2(ค) ที่กล่าวถึงเรื่องเงินราคาที่ดินว่าโจทก์ได้ชำระแล้วเพียง 6,000 บาทเท่านั้น ยังไม่ครบถ้วนจำนวน 12,000 บาท เต็มตามราคาที่ตกลงจะซื้อขายกันนั้น ประเด็นข้อเท็จจริงประการนี้ศาลชั้นต้นชี้ขาดไว้ชัดเจนแล้วว่าโจทก์ได้ชำระเงิน 12,000 บาทให้แก่นางนวมเจ้าของที่ดินเดิมเต็มตามจำนวนราคาที่ซื้อขายกันนั้นแล้ว จำเลยที่ 3 ไม่ได้อุทธรณ์และในคำแก้อุทธรณ์ของจำเลย ก็มิได้เสนอปัญหาข้อนี้ไว้จนศาลอุทธรณ์ได้สรุปข้อเท็จจริงประการนี้ ตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นโดยกล่าวว่าเป็นข้อเท็จจริง ซึ่งไม่มีข้อโต้แย้งกันขึ้นมาใน ชั้นอุทธรณ์นี้ประเด็นข้อนี้จึงเป็นอันยุติไปแล้วตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยเช่นเดียวกันตามนัยที่ได้กล่าวมาข้างต้นนั้น
ปัญหาข้อเท็จจริง ซึ่งจำเลยที่ 3 โต้แย้งว่า จำเลยที่ 3 ไม่รู้ถึงการที่นางนวมหรือจำเลยที่ 1 ได้ทำสัญญาขายที่รายพิพาทให้แก่โจทก์ไว้ก่อนแล้วนั้นปัญหาข้อนี้ ข้อเท็จจริงแห่งคดีได้ความชัดเจนว่า เดิมนางนวมเป็นเจ้าของที่ดินทั้งแปลงใหญ่ ตามโฉนดที่ 3332 เนื้อที่ 92 ตารางวา วันที่ 1 เมษายน 2496 นางนวมได้ทำสัญญาแบ่งขายเฉพาะที่รายพิพาทนี้ให้แก่โจทก์เป็นเงิน 12,000 บาท แต่ยังทำการโอนโฉนดที่ดินให้แก่โจทก์ไม่ได้ เพราะต้องการรังวัดแบ่งแยกโฉนดที่ดินเสียก่อน จึงได้ทำสัญญาจะขายกันไว้ และได้รับเงินมัดจำแล้ว 6,000 บาท ปรากฏตามเอกสารหมาย จ 10 ต่อมาได้รับเงินจากโจทก์อีกหลายคราวจนครบถ้วนจำนวน 12,000 บาทนั้นแล้ว ปรากฏตามที่สลักหลังไว้ท้ายสัญญาหมาย จ 10ซึ่งจำเลยที่ 1 เป็นคนเขียนข้อความเหล่านี้เองทั้งสิ้น วันที่ 23 เมษายน 2497 ได้ร้องขอแบ่งขายโดยขอให้เจ้าพนักงานที่ดินออกไปทำรังวัดแบ่งแยกที่ดินออกอีก 1 แปลงทางทิศเหนือเพื่อแบ่งขายให้แก่นายเชื้อ (คือโจทก์ในคดีเรื่องนี้) ปรากฏตามเอกสารหมาย จ 2 และ วันที่ 22 พฤศจิกายน 2497 เจ้าพนักงานที่ดินออกไปทำการรังวัด ก็ยังได้บันทึกถ้อยคำของนางนวมยืนยันว่า แปลงที่ขอรังวัดแบ่งขายนี้เพื่อขายให้แก่นายเชื้อชมภูพงษ์ ปรากฏตามเอกสารหมาย จ 3 เจ้าพนักงานที่ดินยังทำการแบ่งแยกไม่เสร็จ นางนวมก็ถึงแก่ความตายไปเสียก่อน คือ เมื่อวันที่ 9กุมภาพันธ์ 2498 จำเลยที่ 1 ผู้เป็นทายาทโดยพินัยกรรมของนางนวมรับรองต่อโจทก์ว่าเมื่อแบ่งแยกโฉนดที่ดินเสร็จแล้ว จะได้โอนโฉนดสำหรับที่ดินแปลงพิพาทนี้ให้แก่โจทก์ตามสัญญาที่นางนวมได้ทำไว้กับโจทก์นั้น และได้ไปร้องขอรับมรดกของนางนวมเมื่อวันที่ 13 พฤษภาคม 2498 ปรากฏตามเอกสารหมาย จ 9 ต่อมาวันที่ 15 พฤษภาคม 2498 จำเลยที่ 1 ได้เซ็นหนังสือมอบอำนาจให้แก่จำเลยที่ 2 ซึ่งปรากฏข้อความตามหนังสือมอบอำนาจหมาย จ 8 ว่า “มอบอำนาจให้ทำสัญญาขายและแบ่งแยกไปตามคำขอเดิม” และในวันนั้นเองจำเลยที่ 2 ในฐานะผู้รับมอบอำนาจของจำเลยที่ 1 ได้ยื่นคำร้องต่อเจ้าพนักงานที่ดินว่าตามที่ข้าพเจ้าได้รับมรดกที่ดินโฉนดที่ 3332จากนางนวมและเรื่องยังอยู่ระหว่างแบ่งแยกนั้น บัดนี้ข้าพเจ้ามีความประสงค์จะขอทำนิติกรรมขายที่ดินแปลงนี้ให้แก่นางอนงค์ (คือ จำเลยที่ 3) จึงขอความกรุณาต่อเจ้าพนักงานที่ดินว่าเห็นควรประการใด ซึ่งเจ้าพนักงานที่ดินสั่งว่า”ทำได้ แต่ถ้าจะไม่แบ่งต่อไปก็ทำคำขอยกเลิกเสีย หรือถ้าจะแบ่งต่อไปก็ทำคำขอใหม่” จำเลยที่ 2 จึงทำคำขออีกฉบับหนึ่งตามเอกสารหมาย จ 5 ระบุว่า “ตามที่ข้าพเจ้าเป็นผู้รับมรดกของนางนวมนั้นบัดนี้ข้าพเจ้ามีความประสงค์จะแบ่งไปตามคำขอฉบับที่ 75 ลงวันที่ 23 เมษายน 2497 ขอให้เจ้าพนักงานจัดการแบ่งให้ตามความประสงค์ของข้าพเจ้าด้วย” ต่อจากนั้นจำเลยที่ 2 ได้โอนโฉนดที่ 3332 ขายให้แก่จำเลยที่ 3 ผู้เป็นบุตรของจำเลยที่ 2 เองไปตั้งโฉนดเดิมโดยที่เจ้าพนักงานที่ดินยังมิได้แบ่งแยกโฉนดที่ดินให้ตามคำขอของเจ้าของเดิม จึงได้เกิดฟ้องร้องกันเป็นคดีเรื่องนี้คดีเป็นที่เห็นได้ชัดว่าโจทก์ได้ทำสัญญาจะซื้อที่ดินรายพิพาทจากนางนวมเจ้าของเดิมและชำระเงินราคาครบถ้วนแล้วตั้งแต่พ ศ 2497 ก่อนที่นางนวมเจ้าของเดิมจะได้ถึงแก่ความตาย โจทก์มีสิทธิที่จะเรียกร้องให้เจ้าของเดิมโอนโฉนดที่ดินให้แก่ตนได้โดยสมบูรณ์ หากแต่จำเป็นจะต้องทำการแบ่งแยกที่ดินและโฉนดที่ดินเสียก่อน โดยเจ้าพนักงานที่ดินยังกำลังดำเนินการในเรื่องแบ่งแยกนั้นอยู่ ซึ่งเหตุการณ์เหล่านี้จำเลยที่ 1 ผู้รับมรดกของนางนวมรู้เรื่องดีอยู่แล้ว เพราะเป็นคนเขียนสัญญาจะซื้อขายหมาย จ 10 อีกทั้งบันทึกการรับเงินท้ายสัญญานั้นด้วยและเมื่อนางนวมตายแล้วก็ยังได้รับรองต่อโจทก์ว่าเมื่อแบ่งแยกโฉนดที่ดินได้แล้วจะโอนโฉนดที่ดินรายพิพาทให้แก่โจทก์ตามสัญญาที่นางนวมเจ้าของเดิมทำไว้นั้น จำเลยที่ 1 ผู้รับมรดกของนางนวมล่วงรู้ถึงหน้าที่ของตนที่มีอยู่ต่อโจทก์อยู่แล้วเช่นนี้ ยังขืนมอบอำนาจให้จำเลยที่ 2 ไปทำนิติกรรมโอนขายที่ดินแปลงพิพาทให้แก่จำเลยที่ 3 ไป จึงเป็นการกระทำลงโดยรู้อยู่ว่าจะเป็นทางให้โจทก์ผู้เป็นเจ้าหนี้ต้องเสียเปรียบเพราะจำเลยที่ 1 ไม่สามารถจะชำระหนี้แก่โจทก์ได้ แม้แต่ที่ดินที่เหลืออยู่นอกที่ดินพิพาทรายนี้จำเลยที่ 1 ก็ได้โอนขายให้แก่นางยินดีไปหมดแล้วเช่นเดียวกัน ซึ่งปรากฏตามคำพยานโจทก์และจำเลยที่ 1 ให้การรับรองจำเป็นความจริงปัญหาต่อไปคงมีว่า ในขณะที่ทำนิติกรรมซื้อและรับโอนโฉนดที่ดินรายพิพาทมานั้น จำเลยที่ 3 ได้รู้เท่าถึงข้อความจริงอันเป็นทางให้โจทก์ผู้เป็นเจ้าหนี้ต้องเสียเปรียบด้วยหรือไม่ข้อเท็จจริงประการนี้ โจทก์นำสืบว่าเมื่อนางนวมถึงแก่กรรมแล้วจำเลยที่ 2 ผู้เป็นบิดาของจำเลยที่ 3 เคยไปดูที่ดินรายพิพาทนี้โดยจำเลยที่ 1 พาไปดูและบอกว่าได้ขายให้นายเชื้อไปแล้วเป็นเงิน12,000 บาท จำเลยที่ 2 ยังพูดว่าถูกเหลือเกิน ต่อมาจำเลยที่ 2เคยไปสอบถามนายสิทธิศักดิ์ พนักงานรังวัดว่าเรื่องรังวัดแบ่งแยกที่พิพาทนี้ไปถึงไหนแสดงว่าจำเลยรู้เรื่องเหล่านี้ดีอยู่แล้วที่จำเลยที่ 3 พยายามโต้แย้งว่า จำเลยที่ 3 กระทำการโดยสุจริตไม่เคยได้รู้ถึงการที่จำเลยที่ 1 หรือนางนวมได้ขายให้แก่โจทก์ไว้ก่อนแล้วสังเกต ว่าจำเลยที่ 3 พยายามจะแยกเอาจำเลยที่ 2ไปเป็นฝ่ายเจ้าของที่ดินผู้โอนขาย เพราะเหตุที่จำเลยที่ 2 เป็นผู้รับมอบอำนาจจากจำเลยที่ 1 เจ้าของที่ดินมา จึงเป็นคนละคนต่างหากไม่เกี่ยวข้องกับจำเลยที่ 3 ผู้ซื้อเสียเลยนั้นเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ เพราะจำเลยที่ 2 เป็นบิดาของจำเลยที่ 3 อยู่เองและอยู่กินเรือนเดียวร่วมกันด้วย จำเลยที่ 2 ให้การรับว่าตนเองต้องการหาซื้อที่ดินเพื่อปลูกบ้านอยู่เช่นเดียวกันกับจำเลยที่ 3 ผู้เป็นบุตรก็ต้องการหาซื้ออยู่เหมือนกัน เมื่อจำเลยที่ 1 เอาที่ดินรายนี้มาบอกขาย จำเลยที่ 2 จึงได้เป็นคนจัดการทำความตกลงในเรื่องราคาโดยตลอดเงินมัดจำก็ดี และเงินราคาจำนวนต่อ ๆ มาก็ดี จำเลยที่ 2 เป็นคนชำระให้แก่จำเลยที่ 1 ไปเองทั้งสิ้น และจำเลยที่ 2ให้การรับว่า ชั้นแรกไม่ได้บอกกับจำเลยที่ 1 ว่าจำเลยที่ 3 เป็นคนซื้อโดยเป็นที่เข้าใจกันว่าจำเลยที่ 2 จะเป็นคนซื้อเอง ภายหลังเมื่อตกลงกันเรียบร้อยแล้วจึงได้บอกให้จำเลยที่ 1 ทราบว่าจำเลยที่ 3 เป็นคนซื้อดังนี้ ถึงแม้จำเลยที่ 3 จะเป็นคนซื้อจริงก็ดีจำเลยที่ 2 ผู้เป็นบิดาก็ได้เป็นคนจัดการในเรื่องการซื้อที่ดินรายนี้ตั้งแต่ต้นตลอดมา จนกระทั่งจัดการให้จำเลยที่ 1 เซ็นหนังสือมอบอำนาจให้แก่จำเลยที่ 2 ไปโอนขายให้แก่บุตรของตนเอง ความสัมพันธ์ระหว่างจำเลยที่ 2 กับจำเลยที่ 3 ตลอดจนพฤติการณ์ต่าง ๆ ตามที่ปรากฏอยู่เช่นนี้ แสดงชัดว่าจำเลยที่ 2 กระทำการรักษาผลประโยชน์ให้แก่จำเลยที่ 3 ผู้เป็นบุตรของตนโดยไม่มีข้อสงสัย ดังนั้น สิ่งใดอันเกี่ยวกับการได้การเสียในเรื่องที่ดินรายนี้ซึ่งจำเลยที่ 2 รู้หรือควรจะได้รู้ จึงน่าเชื่อว่าจำเลยที่ 3 ได้รู้เห็นด้วย เพราะจำเลยที่ 2เป็นบิดาและเป็นคนจัดการในการซื้อที่ดินรายนี้ให้แก่จำเลยที่ 3 อยู่ทั้งสิ้นข้อเท็จจริงปรากฏว่าจำเลยที่ 2 เป็นคนรอบคอบมา เมื่อตกลงซื้อขายกับจำเลยที่ 1 แล้ว จำเลยที่ 2 ก็ได้ไปขอตรวจดูหลักฐานอันเกี่ยวกับที่ดินแปลงนี้ที่สำนักงานที่ดินทันที หนังสือมอบอำนาจที่จำเลยที่ 1 เซ็นมอบอำนาจให้แก่จำเลยที่ 2 มาจัดการในเรื่องที่ดินรายนี้ ตามเอกสารหมาย จ 8 จำเลยที่ 2 ให้การรับรองว่าทำกันมาจากบ้านของจำเลยที่ 2 เอง และจำเลยที่ 2 เป็นคนเขียนกรอกข้อความต่าง ๆ ครบถ้วนแล้วให้จำเลยที่ 1 เซ็นชื่อเป็นผู้มอบอำนาจให้มา หนังสือมอบอำนาจฉบับนี้มีข้อความชัดเจนว่า “มอบอำนาจให้ทำสัญญาขาย และแบ่งไปตามคำขอเดิม” เห็นได้ชัดว่าจำเลยที่ 2 รู้ดีอยู่แล้วในเรื่องที่เจ้าของเดิมได้ร้องขอแบ่งแยกโฉนดที่ดินรายนี้ไว้แล้วก่อนที่จะเป็นมรดกตกได้แก่จำเลยที่ 1 มิฉะนั้นจำเลยที่ 2 จะเขียนกรอกลงให้ถูกต้องได้อย่างไร คำขอตามเอกสารหมาย จ 4ซึ่งจำเลยที่ 2 และจำเลยที่ 3 เซ็นด้วยกันระบุข้อความว่า “ที่ดินรายนี้อยู่ในระหว่างแบ่งแยก” และคำขอแบ่งต่อไปตามคำขอเดิมเอกสารหมาย จ 5 ก็ระบุว่า”ให้แบ่งไปตามคำขอฉบับที่ 75 ลงวันที่ 23 เมษายน 2497″ หลักฐานเหล่านี้ประกอบกันกระทำให้น่าเชื่อว่าจำเลยที่ 2 รู้เรื่องคำขอแบ่งแยกของเจ้าของเดิมฉบับที่ 75 ลงวันที่ 23 เมษายน 2497 นั้นดีอยู่แล้ว ซึ่งคำขอฉบับนี้ระบุข้อความอย่างชัดเจนว่า “แบ่งแยกเพื่อขายให้แก่นายเชื้อ” คือโจทก์ในคดีเรื่องนี้ซึ่งประกอบถ้อยคำพยานฝ่ายโจทก์ให้เห็นเด่นชัดยิ่งขึ้นที่จำเลยที่ 2 พยายามปฏิเสธว่า ไม่เคยล่วงรู้ถึงเรื่องนางนวมเจ้าของเดิมแบ่งขายที่ดินรายพิพาทให้แก่โจทก์นั้น ศาลฎีกาได้เพียรวิเคราะห์โดยตระหนักแล้ว ไม่เห็นมีทางที่จะเป็นไปได้อย่างไรเพราะเหตุว่า จำเลยที่ 2 ได้ไปขอตรวจดูหลักฐานอันเกี่ยวกับที่ดินแปลงนี้ ที่สำนักงานที่ดินมาเรียบร้อยแล้ว ซึ่งเป็นเหตุผลอันสำคัญ จำเลยที่ 2 พยายามแก้เลี่ยงไปว่าได้ขอดูแต่โฉนดที่ดินเท่านั้นจึงไม่รู้ว่ามีการขอแบ่งแยกที่ดินเพื่อขายให้แก่โจทก์ ถ้าไม่รู้เช่นนั้นจริงแล้วจำเลยที่ 2 จะเขียนกรอกลงในหนังสือมอบอำนาจหมาย จ 8 ว่า “ให้แบ่งไปตามคำขอเดิม” เช่นนั้นได้อย่างไร คำขอหมายจ 4 และ จ 5 ก็ยังยืนยันเช่นเดิม อนึ่ง จำเลยที่ 2 ให้การรับว่าจำเลยที่ 1 เคยบอกว่าโฉนดไม่มีอยู่ที่จำเลยที่ 1 เพราะที่ดินอยู่ในระหว่างร้องขอแบ่งแยก เจ้าพนักงานต้องเอาโฉนดไว้ ข้อนี้ก็เป็นเหตุผลอันสำคัญอีกประการหนึ่ง ซึ่งแสดงว่าจำเลยที่ 2 รู้เรื่องนี้ดีมาก่อนแล้ว เพราะเหตุว่าที่ดินตามโฉนดที่ 3332 แปลงนี้มีเนื้อที่เพียง 92 ตารางวาเท่านั้น อันเป็นจำนวนเนื้อที่เพียงเล็กน้อยเท่านี้ เจ้าของเดิมจะแบ่งแยกออกไปให้เป็นแปลงเล็ก ๆ อีกทำไมกันเหตุผลธรรมดาเป็นเรื่องที่น่าสงสัย โดยเฉพาะจำเลยที่ 2 ที่ต้องการซื้อที่ดินแปลงนี้ด้วยแล้ว แม้จะซื้อเพื่อตนเองหรือเพื่อจำเลยที่ 3 ผู้เป็นบุตรก็ตาม น่าจะต้องมีความสนใจเป็นพิเศษ และจำเลยที่ 2 เป็นคนรอบคอบ อยู่มากดังได้กล่าวมาแล้วในตอนต้น เหตุไฉนจำเลยที่ 2 จึงไม่ได้ซักถามจำเลยที่ 1 เสียเลยว่าเจ้าของเดิมขอแบ่งแยกไว้ทำไม แบ่งแยกออกเป็นกี่แปลงเนื้อที่แปลงละเท่าไร จำเลยที่ 2 ทำเป็นไม่สนใจในเหตุผลเหล่านี้เสียเลย ซึ่งเป็นการผิดวิสัยของบุคคลธรรมดาอย่างมาก จึงไม่มีทางที่จะให้รับฟังข้อแก้ตัวเช่นว่านั้นว่าเป็นความจริงไปได้เมื่อเหตุผลในท้องสำนวนประกอบกันมั่นคงว่าจำเลยที่ 2 ได้รู้เรื่องการซื้อของโจทก์จนกระทั่งเจ้าของที่ดินเดิมได้ร้องขอแบ่งแยกโฉนดที่ดินเพื่อโอนขายที่ดินรายพิพาทแก่โจทก์ไว้แล้วและเพราะเหตุที่จำเลยที่ 2 เป็นบิดาของจำเลยที่ 3 อยู่เองและเป็นคนจัดการตกลงซื้อที่ดินรายนี้ตั้งแต่เริ่มต้น ตลอดมาจนในที่สุดกลับเป็นผู้รับมอบอำนาจมาโอนโฉนดที่ดินรายนี้ให้แก่จำเลยที่ 3อีกด้วย เหตุผลจึงน่าเชื่อว่าจำเลยที่ 3 ได้ล่วงรู้ถึงสิทธิและการเสียเปรียบของโจทก์อยู่แล้วเช่นเดียวกัน จำเลยที่ 3 จะปลีกตนเป็นคนที่ 3 ไม่เกี่ยวข้องกับจำเลยที่ 2 เสียเลยย่อมเป็นไปไม่ได้ดังได้วินิจฉัยมาแล้วข้างต้น และความจริงก็ปรากฏชัดเจนว่าก่อนรับโอนโฉนดรายนี้ จำเลยที่ 3 ได้รู้อยู่แล้วว่าเจ้าของที่ดินเดิมได้ร้องขอแบ่งแยกที่ดินรายพิพาทไว้แล้ว โดยจำเลยที่ 3 ได้เซ็นชื่อในคำขอขายที่ดินหมาย จ 4 ด้วยกันกับจำเลยที่ 2 และตามคำให้การของจำเลยที่ 3เองก็เบิกความรับรองว่าเจ้าพนักงานที่ดินได้แจ้งให้ทราบด้วยว่าที่ดินแปลงนี้เจ้าของเดิมได้ร้องขอแบ่งแยกไว้ก่อนแล้วจะให้จัดการต่อไปอย่างไร จำเลยที่ 3ปรึกษาจำเลยที่ 2 แล้วก็บอกให้เจ้าพนักงานที่ดินแบ่งแยกไปตามคำขอเดิมนั้น บุคคลธรรมดาในฐานะที่เป็นผู้ซื้อโดยสุจริตน่าจะเฉลี่ยวใจและเกิดความสนใจไต่ถามให้รู้เรื่องทันทีว่า ที่ดินเพียงแปลงเล็ก ๆ เท่านี้จะต้องแบ่งแยกออกไปทำไมกันอีกและแบ่งแยกเป็นแปลงละเท่าใดกันแน่ดังนี้เป็นอาทิ ซึ่งเป็นเรื่องที่จะไต่ถามเจ้าพนักงานหรือขอตรวจดูหลักฐานให้รู้เรื่องเสียก่อนได้ง่าย และเป็นเรื่องที่ตนผู้ที่จะเข้ารับโอนเป็นเจ้าของคนใหม่มีสิทธิและสมควรที่จะรู้ถึงเหตุเหล่านี้ให้ถ่องแท้เสียก่อน ข้อแก้ตัวของจำเลยที่ 3 ที่อ้างว่าไม่รู้นั้น จึงไม่มีเหตุผลเพียงพอที่จะให้เชื่อได้ว่าเป็นความจริง เป็นเช่นนี้โจทก์จึงมีสิทธิที่จะขอให้ศาลเพิกถอนการโอนโฉนดรายนี้ เฉพาะที่เกี่ยวกับที่ดินรายพิพาทได้ตามความประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 237 ข้อฎีกาของจำเลยที่ 3 ที่คัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ในเรื่องบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1300 ว่ามิได้มีข้อความว่า “ต้องจดทะเบียนสิทธิโดยสุจริตด้วย” จึงปรับแก่คดีเรื่องนี้ไม่ได้นั้น ศาลฎีกาเห็นว่าไม่จำเป็นต้องวินิจฉัย เพราะแนววินิจฉัยของศาลฎีกาดังกล่าวมาข้างต้นมิได้ปรับบทกฎหมายตามมาตรา 1300 นั้นอยู่แล้ว ทั้งนี้เนื่องเหตุที่ว่า โจทก์มีอยู่เพียงบุคคลสิทธิเหนือคู่สัญญา ตามสัญญาจะซื้อขายกันเท่านั้นจำเป็นที่จะต้องรอให้อีกฝ่ายหนึ่งมาทำพิธีการโอนให้ หรือถ้าเขาผิดสัญญาก็จำต้องฟ้องร้องขอให้ศาลบังคับให้เช่าโอนที่ดินให้ตามสัญญาจะซื้อขายนั้นเสียก่อน โจทก์ยังไม่มีสิทธิเหนือที่ดินรายพิพาทและไม่มีสิทธิที่จะร้องขอให้เจ้าพนักงานจดทะเบียนสิทธิได้เองตามลำพัง จึงยังมิได้ชื่อว่า “เป็นบุคคลผู้อยู่ในฐานะอันจะให้จดทะเบียนสิทธิของตนได้อยู่ก่อน” ตามความในมาตรา 1300 นั้น อาศัยเหตุผลทั้งหลายดั่งกล่าวมา ศาลฎีกาจึงพิพากษายืนในผลแห่งคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ให้ยกฎีกาของจำเลยที่ 3 และให้จำเลยที่ 3 เสียค่าทนายชั้นนี้แก่โจทก์เป็นเงิน 300 บาท