คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 174/2506

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

คดีก่อนโจทก์ฟ้องจำเลยขอให้ศาลเพิกถอนนิติกรรมซื้อขายที่ดินที่พิพาท อ้างว่าภริยาโจทก์โอนขายให้จำเลยไปโดยไม่ได้รับความยินยอม คดีถึงที่สุดโดยศาลวินิจฉัยในประเด็นว่า จำเลยซื้อที่พิพาทโดยไม่สุจริต พิพากษาว่าสัญญาซื้อขายที่ดินรายพิพาทระหว่างภริยาโจทก์กับจำเลยเป็นโมฆะ ให้เพิกถอนเสีย ดังนี้ ถ้าโจทก์นำคดีมาฟ้องจำเลยอีกว่านับตั้งแต่วันที่จำเลยได้รับโอนที่ดินรายพิพาทและห้องแถวไปจากภริยาโจทก์ จำเลยได้เก็บค่าเช่าที่ดินและห้องแถวไปจำนวนหนึ่ง ขอให้ศาลบังคับจำเลยชำระเงินจำนวนนั้นแก่โจทก์ ย่อมเป็นฟ้องซ้ำต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 148

ย่อยาว

คดีก่อนโจทก์ฟ้องจำเลยขอให้ศาลเพิกถอนนิติกรรมซื้อขายที่ดินที่พิพาท อ้างว่านางผ่องเพ็ญภริยาโจทก์โอนขายให้จำเลยไปโดยไม่ได้รับความยินยอม จำเลยให้การสู้คดีว่าโจทก์กับนางผ่องเพ็ญได้หย่าขาดกันแล้ว จนนางผ่องเพ็ญไปได้สามีใหม่จดทะเบียนสมรสกันชอบด้วยกฎหมายแล้ว จึงโอนขายที่พิพาทให้แก่จำเลย ๆ ได้รับซื้อไว้โดยสุจริต ในระหว่างพิจารณาได้มีคำพิพากษาฎีกาวินิจฉัยว่า การจดทะเบียนสมรสระหว่างนางผ่องเพ็ญกับนายบุญเลิศตกเป็นโมฆะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1490 ศาลฎีกาจึงวินิจฉัยคดีของโจทก์ว่าคดีต้องบังคับตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1495 ว่าจำเลยซึ่งเป็นบุคคลภายนอกได้ซื้อที่ดินรายนี้จากนางผ่องเพ็ญโดยสุจริตหรือไม่ ซึ่งในที่สุดศาลฎีกาฟังว่า จำเลยมิได้ซื้อโดยสุจริต จึงพิพากษาว่าสัญญาซื้อขายที่ดินรายนี้ระหว่างนางผ่องเพ็ญกับจำเลยเป็นโมฆะ ให้เพิกถอนเสีย

โจทก์จึงนำคดีนี้มาฟ้องใหม่ อ้างว่านับตั้งแต่วันที่จำเลยได้รับโอนที่ดินพิพาทและห้องแถวไปจากนางผ่องเพ็ญ จำเลยได้เก็บค่าเช่าที่ดินและห้องแถวไปเป็นจำนวนทั้งสิ้น 128,265 บาท ซึ่งจำเลยไม่มีสิทธิจะรับไว้ จำเลยมีหน้าที่ต้องส่งมอบเงินจำนวนนี้ให้แก่โจทก์โจทก์ทวงถามแล้ว จำเลยไม่ชำระ จึงขอให้ศาลบังคับ

จำเลยให้การตัดฟ้องว่าเป็นฟ้องซ้ำ

ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า ฟ้องโจทก์เป็นฟ้องซ้ำตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 148 พิพากษาให้ยกฟ้อง

โจทก์อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับว่าไม่เป็นฟ้องซ้ำ

จำเลยฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “เห็นได้ว่าถ้าจำเลยได้ซื้อที่ดินรายนี้จากนางผ่องเพ็ญโดยสุจริต นอกจากจะไม่ต้องตกเป็นโมฆะกรรมแล้วเงินผลประโยชน์จากที่ดินที่จำเลยเก็บได้ในระหว่างนั้นก็ย่อมได้แก่จำเลยด้วย โดยโจทก์ไม่มีทางจะเรียกร้องเอาได้เลย โจทก์ฟ้องเรียกเงินผลประโยชน์จากที่ดินที่จำเลยเก็บได้ขึ้นมาในคดีนี้ ก็โดยอาศัยเหตุที่จำเลยได้ซื้อที่ดินจากนางผ่องเพ็ญโดยไม่สุจริต ประเด็นคดีนี้กับคดีก่อนจึงอาศัยเหตุแห่งการวินิจฉัยอย่างเดียวกัน คือ ข้อที่จำเลยได้ซื้อที่ดินรายนี้โดยสุจริตหรือไม่ ฉะนั้น เมื่อโจทก์อ้างว่าจำเลยได้ซื้อที่ดินรายนี้โดยไม่สุจริต และติดใจจะเรียกเอาคืนซึ่งที่ดินและผลประโยชน์จากที่ดินด้วย โจทก์ก็ชอบที่จะฟ้องเรียกเสียพร้อมกันได้ในคดีก่อนโดยหามีอะไรขัดข้องที่จะกระทำเช่นนั้นไม่แต่โจทก์กลับแยกฟ้องเป็นคดีคนละคราวเช่นนี้ จึงต้องถือว่าเป็นฟ้องซ้ำกล่าวคือ นำคดีที่ศาลพิพากษาถึงที่สุดแล้วมาฟ้องอีกในประเด็นที่ได้วินิจฉัยโดยอาศัยเหตุอย่างเดียวกัน ต้องห้ามตามมาตรา 148 แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ฯลฯ”

พิพากษากลับคำพิพากษาศาลอุทธรณ์

Share