แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
คดีอาญา พนักงานอัยการจะต้องส่งตัวจำเลยมาพร้อมกับฟ้องเสมอเว้นแต่จำเลยจะเป็นผู้อยู่ในอำนาจของศาลแล้ว
ศาลชั้นต้นได้รับฝากขังตัวผู้ต้องหาไว้จากพนักงานสอบสวนและออกหมายขังไว้แล้วผู้ต้องหาหลบหนีไปก่อนโจทก์ยื่นฟ้อง กรณีเช่นนี้นับได้ว่าตัวจำเลยอยู่ในอำนาจศาลในคดีนี้แล้ว ศาลชั้นต้นชอบที่จะรับฟ้องและดำเนินการต่อไป
(ประชุมใหญ่ ครั้งที่ 26/2514)
ย่อยาว
โจทก์ยื่นฟ้อง (เมื่อวันที่ ๙ กุมภาพันธ์ ๒๕๑๔) ขอให้ลงโทษจำเลยฐานฆ่าคนโดยเจตนา ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๘๘ ขอให้เพิ่มโทษตามมาตรา ๙๒ สั่งริบของกลาง และบรรยายคำฟ้องมาด้วยว่าระหว่างสอบสวน จำเลยถูกควบคุมตัวตั้งแต่วันถูกจับตลอดมาจนถึงวันฟ้องขณะนี้จำเลยต้องขังอยู่ตามคำร้อง คดีหมายเลขดำที่ พ.๒๙๑/๒๕๑๓ของศาลชั้นต้น ขอให้ศาลเบิกตัวจำเลยมาพิจารณาและพิพากษาต่อไป
ปรากฏว่าเมื่อวันที่ ๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๑๔ ผู้บัญชาการเรือนจำจังหวัดสุรินทร์ได้มีหนังสือแจ้งมาว่า จำเลยซึ่งต้องขังตามหมายขังระหว่างสอบสวน พ.๒๙๑/๒๕๑๓ ได้หลบหนีไปเมื่อวันที่ ๓๑ มกราคม ๒๕๑๔เสียแล้ว
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า โจทก์ยื่นฟ้องจำเลยโดยไม่มีตัวจำเลยมาส่งศาล จึงไม่รับฟ้องตามนัยคำพิพากษาฎีกาที่ ๗๖๖/๒๕๐๔
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาได้พิเคราะห์แล้วเห็นว่า ในคดีที่พนักงานอัยการเป็นโจทก์นั้น ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๑๒๐ จะต้องมีการสอบสวนก่อนและมาตรา ๑๔๒ วรรค ๓ บัญญัติว่า “ในกรณีที่เสนอความเห็นควรสั่งฟ้อง ให้พนักงานสอบสวนส่งสำนวนพร้อมกับผู้ต้องหาไปยังพนักงานอัยการ เว้นแต่ผู้ต้องหานั้นถูกขังอยู่แล้ว” ฉะนั้น ในกรณีที่ผู้ต้องหาถูกขังโดยหมายของศาลตามบทบัญญัติในมาตรา ๘๗ แล้วเมื่อพนักงานอัยการยื่นฟ้องผู้ต้องหาที่ถูกขังดังกล่าวเป็นจำเลยต่อศาลแล้วพนักงานอัยการหาจำต้องนำตัวจำเลยมาส่งศาลพร้อมกับฟ้องของตนไม่ในกรณีเช่นนี้ พนักงานอัยการเพียงขอให้ศาลเบิกตัวจำเลยมาดำเนินการต่อไปเท่านั้นและศาลก็มีหน้าที่ต้องเบิกตัวจำเลยมาเพราะตัวจำเลยอยู่ในอำนาจของศาลแล้ว ดังนัยคำพิพากษาฎีกาที่ ๑๔๙๗/๒๔๙๖ ระหว่างพนักงานอัยการประจำศาลจังหวัดปากพนัง โจทก์ นางส่อง ชูแก้ว จำเลย ตัดสินไว้
อย่างไรก็ดี ถ้าจำเลยมิได้อยู่ในอำนาจของศาลที่พนักงานอัยการยื่นฟ้อง พนักงานอัยการจะต้องยื่นฟ้องพร้อมกับส่งตัวจำเลยต่อศาลเสมอเพราะพนักงานอัยการมีหน้าที่ต้อง “จัดการอย่างหนึ่งอย่างใด เพื่อให้ได้ตัวผู้ต้องหามา” ตามมาตรา ๑๔๑ วรรค ๔ อยู่แล้ว ดังที่ศาลฎีกาได้วินิจฉัยไว้หลายเรื่องแล้ว คือ คำพิพากษาฎีกาที่ ๑๒๖/๒๔๘๙ ระหว่าง อัยการจังหวัดสุราษฎร์ธานี โจทก์ นายขึม รักษ์สวัสดิ์ กับพวก จำเลย และคำพิพากษาฎีกาที่ ๕๑๕/๒๔๙๑ ระหว่างพนักงานอัยการกองคดี กรมอัยการ โจทก์ นายมังกรหรือน้อย สุขใจ จำเลย
จริงอยู่คำพิพากษาฎีกาที่ ๗๖๖/๒๕๐๔ ระหว่าง พนักงานอัยการจังหวัดภูเขียว โจทก์ นายหมื่น โจมชัยภูมิ กับพวก จำเลย มีข้อเท็จจริงที่คล้ายคลึงกับคดีนี้มาก แต่ในคดีนั้นจำเลยต้องโทษเรื่องเล่นการพนันทางการได้ส่งตัวไปกักขังไว้ยังสถานที่กักขังอำเภอภูเขียว แล้วพนักงานอัยการได้ฟ้องจำเลยเป็นคดีใหม่หาว่า ฆ่ากระบือโดยไม่รับอนุญาตโดยไม่ได้ขอฝากขังไว้ในคดีเรื่องใหม่ที่ยื่นฟ้อง แต่ปรากฏว่าเมื่อขณะยื่นฟ้อง จำเลยได้หลบหนีในคดีที่ต้องโทษเรื่องการพนันไปเสียก่อนแล้วศาลฎีกาจึงพิพากษาว่าโจทก์จะฟ้องคดี (ฐานฆ่ากระบือไม่รับอนุญาต) โดยไม่มีตัวจำเลยไม่ได้ ข้อเท็จจริงจึงต่างกับคดีนี้อยู่ตรงที่ว่า คดีนี้พนักงานสอบสวนได้ยื่นคำร้องฝากขังต่อศาลจังหวัดสุรินทร์ในข้อหาฐานฆ่าผู้อื่นตามโดยเจตนา ศาลชั้นต้นอนุญาตให้ขังไว้ ๖ ครั้งแล้วครั้งสุดท้ายอนุญาตให้ขังได้ ๑๒ วันนับแต่วันที่ ๓๐ มกราคม ๒๕๑๔ถึงวันที่ ๑๐ กุมภาพันธ์ ๒๕๑๔ ก็พอดีจำเลยได้หลบหนีจากที่คุมขังในวันที่ ๓๑ มกราคม ๒๕๑๔ และโจทก์ก็ได้ยื่นฟ้องคดีนี้เมื่อวันที่ ๙ กุมภาพันธ์ ๒๕๑๔ ซึ่งจะเห็นได้ว่าคดีนี้โจทก์ยื่นฟ้องในขณะที่ตัวจำเลยถูกขังอยู่โดยอำนาจศาล
อาจมีข้อเถียงว่า ในคดีอาญา ถ้าให้พนักงานอัยการฟ้องคดีได้โดยไม่มีตัวจำเลยมาศาลแล้วก็จะเท่ากับเป็นการยืดอายุความอันจะเป็นผลร้ายให้แก่จำเลยแต่ความข้อนี้ในปัจจุบันนี้ไม่เป็นจริงเสียแล้วเพราะมาตรา ๙๕ วรรค ๑ แห่งประมวลกฎหมายอาญา บัญญัติว่า “ในคดีอาญา ถ้ามิได้ฟ้องและได้ตัวผู้กระทำความผิดมายังศาลภายในกำหนดดังต่อไปนี้นับแต่วันกระทำผิดเป็นอันขาดอายุความ ฯลฯ” ซึ่งแสดงว่า ต้องฟ้องและได้ตัวผู้กระทำผิดมายังศาล อายุความจึงจะหยุดนับต่อไป แต่ในกรณีที่ยังไม่ได้ตัวมาศาล แม้จะยื่นฟ้องแล้วอายุความก็ยังคงเดินอยู่ การยื่นฟ้องและศาลรับฟ้องไว้ไม่ทำให้เป็นการยืดอายุความแต่อย่างใด
คดีนี้ ศาลชั้นต้นได้รับฝากขังตัวผู้ต้องหาไว้จากพนักงานสอบสวนและออกหมายขังไว้แล้ว จึงมีปัญหาว่า เมื่อจำเลยหลบหนีไปก่อนโจทก์ยื่นฟ้อง ศาลชั้นต้นจะรับฟ้องของโจทก์ไว้ได้หรือไม่ ศาลฎีกาโดยที่ประชุมใหญ่วินิจฉัยว่า กรณีเช่นนี้นับได้ว่าตัวจำเลยอยู่ในอำนาจศาลในคดีนี้แล้ว ศาลชั้นต้นชอบที่จะรับฟ้องและดำเนินการต่อไป
อาศัยเหตุผลดังกล่าวมาแล้ว ที่ศาลทั้งสองไม่ประทับฟ้องโจทก์ไว้นั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้น
จึงพิพากษาให้ยกคำสั่งและคำพิพากษาของศาลล่างทั้งสองให้ศาลชั้นต้นรับฟ้องของพนักงานอัยการจังหวัดสุรินทร์ไว้ดำเนินการต่อไป