คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1734/2521

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ผู้เสียหายเป็นตำรวจขณะปฏิบัติหน้าที่ตรวจพบจำเลยขับรถยนต์โดยสารโดยไม่มีใบอนุญาตขับขี่รถยนต์และป้ายแสดงการเสียภาษีรถยนต์ จึงสั่งให้ไปเสียค่าปรับที่สถานีตำรวจ จำเลยกลับขับรถไปทางอื่น ผู้เสียหายนั่งรถติดตามไปทัน สั่งให้จำเลยไปสถานีตำรวจอีก จำเลยกลับขับรถยนต์ต่อไป ผู้เสียหายนั่งรถแซงรถจำเลยไปจอดข้างหน้า ลงจากรถไปยืนบนถนน โบกมือให้รถจำเลยหยุด จำเลยไม่หยุดรถ แต่กลับขับไปโดยเร็วจะชนผู้เสียหาย แต่ผู้เสียหายหลบเสียทัน หากไม่หลบ รถจำเลยก็ต้องชนผู้เสียหาย ฟังได้ว่าจำเลยมีความโกรธแค้นที่ผู้เสียหายติดตามจับจำเลยจึงมีเจตนาฆ่าโดยการขับรถชนในขณะผู้เสียหายปฏิบัติการตามหน้าที่ แต่เพราะผู้เสียหายหลบเสียทันจำเลยจึงมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 289,80

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า สิบตำรวจตรีสังคมและพลตำรวจสำเนียงตำรวจประจำสถานีตำรวจภูธรอำเภออำนาจเจริญ ได้ตรวจพบว่าจำเลยขับรถยนต์โดยไม่มีใบอนุญาตขับขี่และรถยนต์ยังมิได้เสียภาษีรถยนต์ประจำปี จึงสั่งให้จำเลยไปสถานีตำรวจเพื่อเสียค่าปรับ จำเลยกลับขับรถยนต์หนีไปตำรวจทั้งสองได้โดยสารรถยนต์ออกติดตามจนทัน และได้ยืนบนถนนดักหน้ารถยนต์ของจำเลยไว้ระยะห่างพอสมควร และโบกมือให้สัญญาณเพื่อให้จำเลยจอดรถ แล้วจะได้จับกุมในข้อหานั้น อันเป็นการปฏิบัติการตามหน้าที่ จำเลยหาได้ชะลอความเร็วลง แต่กลับเร่งความเร็วสูงพุ่งเข้าชน แต่ตำรวจทั้งสองกระโดดหลบรถทัน ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 289, 80

จำเลยให้การปฏิเสธ

ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 289 ประกอบด้วยมาตรา 80 และมาตรา 52(1) ประกาศของคณะปฏิวัติฉบับที่ 11 ลงวันที่ 21 พฤศจิกายน 2514 ข้อ 1 จำคุกจำเลยไว้ตลอดชีวิต

จำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ ให้ลดโทษให้จำเลย 1 ใน 3 คงจำคุก 33 ปี 4 เดือน นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

โจทก์ฎีกาว่าไม่ควรลดโทษให้จำเลย

จำเลยฎีกาขอให้ยกฟ้องโจทก์

ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า ขณะที่สิบตำรวจตรีสังคมและพลตำรวจสำเนียงยืนอยู่บนถนนห่างขอบถนน 1 เมตรครึ่ง โบกมือให้รถจำเลยหยุด ซึ่งจำเลยน่าจะต้องเชื่อฟังหยุดรถเสียก่อน กลับขับไปโดยเร็วจะชนตำรวจทั้งสอง แต่ตำรวจหลบเสียทัน ตรงนั้นเป็นถนนลาดยาง นายสวัสดิ์คนขับรถแท๊กซี่เบิกความว่าเห็นรถจำเลยแล่นห่างรถนายสวัสดิ์เพียง 1 แขนเศษ รถของจำเลยที่แล่นมาก็ต้องชนตำรวจทั้งสองที่ยืนอยู่นั้น จำเลยหลบหนีการชำระค่าปรับ ได้พบกับตำรวจถึง 2 แห่งเช่นนี้ ฟังได้ว่าจำเลยมีความโกรธแค้นที่ตำรวจติดตามจับจำเลย จึงได้ขับรถชนแล้ววินิจฉัยว่า จำเลยมีเจตนาฆ่าตำรวจโดยการขับรถชนในขณะที่ตำรวจทั้งสองปฏิบัติการตามหน้าที่ แต่การกระทำไม่บรรลุผล เพราะตำรวจหลบเสียทัน จำเลยจึงมีความผิดตามฟ้อง และเห็นว่าพฤติการณ์ของจำเลยเพียงแต่หลบหนียังไม่นำเงินมาชำระ และคำเบิกความของจำเลยที่ศาลอุทธรณ์เห็นว่าเป็นประโยชน์แก่การพิจารณาคดีของศาล นับเป็นดุลพินิจที่เห็นว่าเป็นเหตุบรรเทาโทษ แล้วปรานีลดโทษให้จำเลยนั้น ศาลฎีกาเห็นว่าเหมาะสมถูกต้องแล้ว ไม่มีเหตุที่จะแก้ไข

พิพากษายืน

Share