คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1731/2513

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 143 ให้อำนาจศาลเพิ่มเติมแก้ไขข้อผิดพลาดหรือผิดหลงในคำพิพากษาหรือคำสั่งเท่านั้น มิได้ให้อำนาจศาลกระทำเช่นนั้นในสัญญาประนีประนอมยอมความซึ่งศาลได้พิพากษาตามยอมไปแล้ว
คำขอของคู่ความในชั้นฎีกาในเรื่องที่มิได้กล่าวอ้างมาตั้งแต่ศาลชั้นต้นนั้น ศาลฎีกาวินิจฉัยบังคับให้ไม่ได้

ย่อยาว

คดีนี้ โจทก์จำเลยและผู้ร้องสอดซึ่งเป็นทายาทของนายต่วนผู้ตาย ได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันในศาล เกี่ยวกับทรัพย์มรดกที่พิพาทกัน สัญญายอมได้กล่าวรายละเอียดไว้ว่า ทรัพย์สินอย่างใดตกได้แก่ฝ่ายใด ต่อมาจำเลยที่ 1 ร้องขึ้นว่าห้องแถวไม้สองชั้นจำนวน 10 ห้องที่แบ่งให้กับจำเลยที่ 2 และบุตรตามสัญญายอมนั้น จำเลยที่ 2 และบุตรยังมิได้รื้อถอนเอาไปจากที่ดินที่ตั้งอยู่ ซึ่งที่ดินนั้นตกได้แก่จำเลยที่ 1 และบุตรขอให้ศาลเรียกจำเลยที่ 2 มาสอบถามและบังคับให้รื้อถอนเอาออกไปจากที่ดิน

จำเลยที่ 2 ยื่นคำร้องต่อศาลว่าสัญญาประนีประนอมยอมความในสำนวนของศาลนั้นผู้พิมพ์ได้พิมพ์ข้อความตกถ้อยคำว่า “ที่ดินกับ”ไปจากต้นร่างเดิมในส่วนที่เกี่ยวกับทรัพย์สินที่ได้แก่จำเลยที่ 2 ซึ่งคราวตกลงทำสัญญายอมความต่อหน้าศาลทุกฝ่ายได้เสนอร่างบัญชีทรัพย์สินที่ตกลงร่วมกันเสนอต่อศาลไว้ แล้วจึงพิมพ์สัญญาดังกล่าวขึ้นตามร่างนั้น ขอให้ศาลมีคำสั่งแก้ไขเพิ่มเติมข้อผิดพลาดดังกล่าวในสัญญายอมความ จากข้อความที่ว่า “ห้องแถวไม้ 2 ชั้น จำนวน 6 ห้อง ฯลฯ นางเยียกเกียงรับว่าแบ่งโฉนดให้ และที่ดินกับห้องแถวไม้ 2 ชั้นจำนวน 10 ห้องอยู่ทางทิศใต้ฯลฯ” โดยขอให้ศาลสั่งแก้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 143

จำเลยที่ 1 คัดค้านว่า มิได้มีการพิมพ์ผิดพลาดหรือตกหล่นจากร่างเดิม

ศาลชั้นต้นสั่งว่า กรณีนี้มิใช่เป็นเรื่องคำพิพากษามีข้อผิดพลาดหรือผิดหลงเล็กน้อย อันศาลมีอำนาจแก้ไขได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 143 ให้ยกคำร้องของผู้ร้อง (จำเลยที่ 2)

ผู้ร้องอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

จำเลยที่ 2 ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ตามคำร้องของจำเลยที่ 2 ที่ขอให้ศาลแก้ไขเพิ่มเติมข้อความที่ตกหล่นอย่างหนึ่งอย่างใดลงไปในหนังสือสัญญาประนีประนอมยอมความอันศาลได้พิพากษาตามยอมไปแล้วนั้นตามบทกฎหมายที่จำเลยที่ 2อ้าง คือประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 143 นั้น เป็นแต่ให้อำนาจศาลอาจทำได้สำหรับในคำพิพากษาเท่านั้น ไม่ได้ให้อำนาจทำได้สำหรับในกรณีอื่นดังเช่นที่ผิดพลาดในสัญญาประนีประนอมยอมความนี้ด้วยและสัญญาประนีประนอมยอมความตามที่จำเลยที่ 2 ขอให้แก้นี้ ก็ไม่ใช่เป็นส่วนหนึ่งของตัวคำพิพากษาตามยอม จึงไม่มีปัญหาที่จะชี้ว่าข้อที่ขอแก้ไขเพิ่มเติมนั้นเป็นข้อที่ผิดพลาดหรือผิดหลง หากแต่เป็นเรื่องที่จำเลยที่ 2 จะร้องขอให้บังคับคดีโดยแปลว่าสัญญายอมความในส่วนนั้นได้มุ่งหมายถึงอะไรด้วย แล้วบังคับคดีไปตามนั้นเพราะคำพิพากษาตามยอมเป็นเรื่องบังคับไปตามสัญญายอมที่แท้จริงได้ และในขณะนี้ก็ไม่มีประเด็นที่ว่ากันมาตั้งแต่ต้นว่าสัญญายอมความที่แท้จริงอันได้เอามาพิมพ์ลงไว้อย่างนั้นควรจะหมายความว่าอย่างไร ฉะนั้น การที่จำเลยที่ 2 กล่าวมาในฎีกา ขอให้ศาลฎีกาบังคับแบ่งที่ดินให้ด้วย จึงยังวินิจฉัยบังคับให้ไม่ได้เพราะไม่ใช่เป็นเรื่องที่ว่ากล่าวกันมาตั้งแต่ศาลชั้นต้น

พิพากษายืน

Share