แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
กรณีที่ถือว่า เป็นผู้เสียหายมีอำนาจฟ้องจำเลยฐานเบิกความเท็จได้
ย่อยาว
คดีได้ความว่า โจทก์เป็นสามีนางเปี่ยมโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายเพราะไม่ได้จดทะเบียนสมรส เมื่อวันที่ 27 เมษายน 2489 จำเลยได้ทำนิติกรรมที่อำเภอยกสวนยางกับทรัพย์อื่นบางอย่างให้เป็นสิทธิแก่นางเปี่ยม ๆ กับโจทก์ได้เข้าครอบครองทรัพย์ที่จำเลยยกให้ตลอดมาภายหลังนางเปี่ยมตาย จำเลยได้ฟ้องโจทก์ ขอให้ห้ามโจทก์ไม่ให้ตัดยางในส่วนที่จำเลยยกให้นางเปี่ยม และต่อมาได้ฟ้องโจทก์ในคดีแดงที่ 327/2491 อีกสำนวนหนึ่ง จำเลยได้เข้าเบิกความเป็นพยานในสำนวนหลังนี้ว่า “เมื่อปี พ.ศ. 2489 เดือนเมษายน ข้าพเจ้ากับนางเปี่ยมมาอำเภอห้วยยอด ทำสัญญาให้นางเปี่ยมเก็บกินที่พิพาทจนตลอดชีวิต ฯลฯ ซึ่งความจริงจำเลยได้ยกให้เป็นกรรมสิทธิ์แก่นางเปี่ยมดังกล่าวมาแล้ว
โจทก์จึงฟ้องหาว่า จำเลยเบิกความเท็จ
จำเลยต่อสู้ว่า โจทก์ไม่ใช่เป็นผู้เสียหาย ไม่มีอำนาจฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามกฎหมายลักษณะอาญามาตรา 155 ตามฟ้อง
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า โจทก์ไม่ใช่ผู้เสียหาย จึงพิพากษากลับให้ยกฟ้อง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า ขณะจำเลยฟ้องคดีแพ่งแดงที่ 327/2491 นั้นโจทก์เป็นฝ่ายครอบครองที่รายพิพาทอยู่ หากจำเลยชนะคดีเรื่องนั้นโจทก์ก็ต้องเสียสิทธิในการครอบครองที่รายพิพาทและอาจต้องชำระค่าฤชาธรรมเนียมในคดีเรื่องนั้นแทนจำเลย จึงได้ชื่อว่าโจทก์เป็นผู้เสียหายตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 2 และมีสิทธิฟ้องจำเลยได้ดังศาลชั้นต้นวินิจฉัยมา
จึงพิพากษากลับศาลอุทธรณ์ ให้บังคับคดีไปตามศาลชั้นต้น