แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
เดิมโจทก์มีเจตนาเพียงกู้เงินจากจำเลยไม่ประสงค์จะขายฝากที่พิพาท แต่เมื่อจำเลยให้โจทก์ทำสัญญาขายฝากที่พิพาท ซึ่งถ้าโจทก์ไม่ยอมทำขายฝากจำเลยก็จะไม่ให้เงินในที่สุด โจทก์ได้ตกลงทำสัญญาขายฝากให้เช่นนี้ ถือได้ว่า โจทก์ทำสัญญาขายฝากที่พิพาทโดยความสมัครใจของโจทก์เอง สัญญาขายฝากใช่เกิดจากเจตนาลวงด้วยการสมรู้ของโจทก์ จำเลยที่ทำเพื่อจะอำพราง การกู้ยืมเงินไม่ สัญญาขายฝากดังกล่าวจึงมิใช่นิติกรรมอำพราง
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของที่ดินมี น.ส. ๓ หนึ่งแปลง เมื่อ พ.ศ. ๒๕๑๔ โจทก์กู้เงินจำเลย ๒๐,๐๐๐ บาท เสียดอกเบี้ยเดือนละ ๖๐๐ บาท ได้เอาที่ดินดังกล่าววางไว้ เป็นประกันโดยมิได้กำหนดเวลาชำระหนี้ไว้ แต่ตกลงกันว่า โจทก์มีเงินชำระหนี้เมื่อใดจำเลยจะรับชำระหนี้เมื่อนั้น ขอแต่เพียงให้โจทก์ส่งดอกเบี้ยตลอดไป วันกู้ยืมจำเลยได้หักอกเบี้ยไว้ล่วงหน้า ๓ เดือน เป็นเงิน ๑,๘๐๐ บาท คงมอบให้โจทก์เพียง ๑๘,๒๐๐ บาท การกู้ยืมมิได้ทำหลักฐานเป็นหนังสือ แต่จำเลยขอให้โจทก์จดทะเบียนขายฝากที่ดินพิพาทไว้กับจำเลยมีกำหนด ๒ ปี เป็นการอำพรางนิติกรรมกู้ยืมเงิน โจทก์จดทะเบียนขายฝากให้จำเลยเมื่อวันที่ ๙ พฤศจิกายน ๒๕๑๔ โจทก์ส่งดอกเบี้ยให้จำเลยตลอดมา จำเลยยอมให้โจทก์ครอบครองที่พิพาทอย่างเจ้าของ เมื่อครบกำหนดเวลา ๒ ปีแล้ว จำเลยไม่ได้เกี่ยวข้องในที่พิพาท คงรับดอกเบี้ยจากโจทก์เช่นเดิม ต่อมาเมื่อวันที่ ๑๓ มิถุนายน ๒๕๒๐ จำเลยได้ยื่นเรื่องราวขอจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมขายที่พิพาทให้บุคคลอื่น โจทก์คัดค้านและจะนำเงินมาชำระหนี้แล้วให้จำเลยจดทะเบียนไถ่ถอนหรือขายที่พิพาทคืนให้แก่โจทก์ แต่จำเลยไม่ยอมขอให้ศาลพิพากษาว่านิติกรรมขายฝากระหว่างโจทก์ กับจำเลยเป็นนิติกรรมอำพราง การกู้ยืมเงินให้จำเลยรับชำระหนี้จากโจทก์ ๒๐,๐๐๐ บาท และจดทะเบียนโอนคืนที่พิพาทให้โจทก์
จำเลยให้การว่า โจทก์ไม่เคยกู้ยืมเงินจำเลย แต่โจทก์ได้ตกลงขายฝากที่พิพาทให้จำเลยในราคา ๒๗,๐๐๐ บาท มีกำหนดเวลาไถ่ ๒ ปี จดทะเบียนทำสัญญาขายฝากต่อเจ้าพนักงาน การขายฝากเป็นนิติกรรมที่ชอบด้วยกฎหมาย หลังจากขายฝากแล้ว โจทก์ขอเช่าที่ดินพิพาทจากจำเลยทำกิจ โดยให้ค่าเช่าเป็นข้าวเปลือกบ้าง เป็นเงินบ้าง เมื่อครบกำหนดเวลาไถ่โจทก์ไม่ไถ่คืน ที่พิพาทตกเป็นของจำเลยแล้ว ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ววินิจฉัยว่า โจทก์จำเลยมีเจตนาที่จะกู้ยืมเงินกัน การทำสัญญาขายฝากเป็นการทำนิติกรรมอำพราง พิพากษาว่าสัญญาขายฝากเป็นนิติกรรมอำพราง ตกเป็นโมฆะ ให้จำเลยรับชำระเงิน ๒๐,๐๐๐ บาท และจดทะเบียนโอนที่พิพาทคืนให้โจทก์ ฯ
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิจารณาแล้ววินิจฉัยว่า โจทก์ทำสัญญาขายฝากให้จำเลยจริง ๆ มิใช่เป็นการขายฝากกันหลอก ๆ หรือเป็นนิติกรรมอำพราง พิพากษายกฟ้อง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า เมื่อวันที่ ๙ พฤศจิกายน ๒๕๑๔ โจทก์ได้จดทะเบียนทำสัญญาขายฝากที่พิพาทไว้กับจำเลยเป็นเงิน ๒๗,๐๐๐ บาท มีกำหนด ๒ ปี ตามสัญญาขายฝากเอกสารหมาย จ.๑ พ้นกำหนดไถ่ถอนแล้ว โจทก์มิได้ไถ่คืนแล้ววินิจฉัยว่า เดิมโจทก์มีเจตนาเพียงกู้เงินจากจำเลยไม่ประสงค์จะขายฝากที่พิพาท แต่เมื่อจำเลยให้โจทก์ทำสัญญาขายฝากที่พิพาท ซึ่งถ้าโจทก์ไม่ยอมทำขายฝากจำเลยก็จะไม่ให้เงินในที่สุด โจทก์ได้ตกลงทำสัญญาขายฝากให้เช่นนี้ ถือได้ว่า โจทก์ทำสัญญาขายฝากที่พิพาทโดยความสมัครใจของโจทก์เอง สัญญาขายฝากใช่เกิดจากเจตนาลวงด้วยการสมรู้ของโจทก์ จำเลยที่ทำเพื่อจะอำพราง การกู้ยืมเงินไม่ สัญญาขายฝากดังกล่าวจึงมิใช่นิติกรรมอำพราง
พิพากษายืน