คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 172/2515

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

คู่ความตกลงสละประเด็นข้ออื่นทั้งหมด คงต่อสู้กันในประเด็นว่า “โจทก์ไม่ได้เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาท และขณะฟ้องไม่ได้เป็นผู้ครอบครองที่พิพาท โจทก์จะมีอำนาจฟ้องจำเลยหรือไม่” ดังนี้ การที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าโจทก์เป็นผู้เช่าที่พิพากมาจากวัดจึงเป็นการวินิจฉัยนอกประเด็น

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ ๒ เมษายน ๒๕๐๓ โจทก์ได้ทำสัญญาเช่าที่ดินโฉนดเลขที่ ๕๙๔ จากวัดพระประโทน เนื้อที่ ๙ ไร่ ต่อมาปลายปี พ.ศ. ๒๕๐๕ โจทก์แบ่งให้นายเขียน แซ่เลียว เช่าครึ่งหนึ่ง ครั้นเมื่อประมาณ ๔-๕ ปีมาแล้ว จำเลยได้เข้ามาอาศัยอยู่ในที่ดินที่โจทก์เช่าโดยมิได้รับอนุญาตจากโจทก์ และปลูกบ้าน ทำร้านค้า โรงสี และโรงเลี้ยงหมู จึงขอให้ขับไล่จำเลยและบริวารออกจากที่ดินโจทก์และเรียกค่าเสียหาย
จำเลยให้การว่าโจทก์จะได้เช่าที่ดินจากวัดพระประโทนและได้เสียค่าเช่าให้วัดตลอดมา และโจทก์จะได้แบ่งที่เช่าให้นายเขียนเช่าจริงหรือไม่ไม่รับรอง จำเลยไม่เคยแย่งการครอบครองที่เช่าจากโจทก์ จำเลยได้เช่าทำประโยชน์มา ๘ ปีแล้ว และตัดฟ้องว่าโจทก์ไม่ได้เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินรายพิพาท และไม่ได้ครอบครองที่พิพาท ทั้งฟ้องโจทก์ขาดอายุความฟ้องร้องแล้ว เพราะโจทก์อ้างว่าจำเลยได้แย่งการครอบครองหรือรบกวนการครอบครองมาประมาณ ๔-๕ ปีแล้ว โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง
วันชี้สองสถาน โจทก์จำเลยตกลงสละประเด็นข้ออื่นทั้งหมด คงติดใจสู้เฉพาะประเด็นข้อกฎหมาย ๒ ประเด็นคือ
ข้อ ๑ โจทก์ไม่ได้เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาท และขณะฟ้องไม่ได้เป็นผู้ครอบครองที่ดินพิพาท โจทก์จะมีอำนาจฟ้องจำเลยหรือไม่
ข้อ ๒ จำเลยได้แย่งการครอบครองและรบกวนการครอบครองมา ๔-๕ ปีแล้ว ฟ้องโจทก์จะขาดอายุความหรือไม่
สำหรับค่าเสียหายนั้น โจทก์จำเลยยอมรับกันว่าโจทก์เสียหายปีละ ๙๐๐ บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจำเลยจะส่งมอบที่ดินให้โจทก์เสร็จ ค่าเสียหายก่อนฟ้องไม่ติดใจเรียก
ศาลชั้นต้นเห็นว่า ตามคำท้าของคู่ความทั้งสองข้อ เป็นปัญหาข้อกฎหมายไม่จำต้องฟังข้อเท็จจริงต่อไป และวินิจฉัยว่าโจทก์เป็นผู้เช่าที่ดินพิพาทจากวัด โจทก์ย่อมมีสิทธิครอบครองใช้สอยที่ดินวิวาทตามสัญญาเช่า เมื่อจำเลยรบกวนแย่งการครอบครอง ย่อมเป็นการละเมิด โจทก์หาจำต้องเป็นเจ้ากรรมสิทธิ์ที่วิวาทไม่ โจทก์มีสิทธิฟ้องคดีต่อศาล ฟ้องโจทก์ก็ไม่ขาดอายุความ พิพากษาขับไล่จำเลยและบริวารออกไปจากที่ดินวิวาท ให้จำเลยรื้อถอนบ้านเลขที่ ๑๐๖ ออกไปจากที่ดินวิวาท ให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหายปีละ ๙๐๐ บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจำเลยจะออกไปจากที่ดินที่วิวาท
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์เห็นว่า โจทก์จำเลยสละประเด็นข้ออื่นทั้งหมดคงติดใจท้ากันให้ศาลวินิจฉัยเพียง ๒ ข้อ ส่วนเรื่องที่โจทก์หรือจำเลยเช่าที่ดินมาจากวัดไม่ได้กล่าวถึงเลย จะนำเอาประเด็นแห่งคดีซึ่งโจทก์จำเลยต่างโต้เถียงกันว่าตนต่างเป็นผู้เช่าที่พิพาทจากวัดพระประโทนขึ้นมากล่าวอ้างให้เป็นคุณแก่ฝ่ายใดมิได้ เนื่องจากคู่ความสละประเด็นข้ออื่นทั้งหมดแล้ว การที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า โจทก์เป็นผู้เช่าที่ดินจากวัดฝ่ายเดียว โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องจึงเป็นการวินิจฉัยนอกประเด็นที่ท้ากันโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง ไม่จำต้องวินิจฉัยคำท้าข้อ ๒
พิพากษากลับให้ยกฟ้องโจทก์
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า เมื่อโจทก์จำเลยตกลงกันให้ศาลวินิจฉัยเฉพาะข้อกฎหมายที่ว่า โจทก์ไม่ได้เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินและในขณะฟ้องไม่ได้เป็นผู้ครอบครองที่พิพาท โจทก์จะมีอำนาจฟ้องจำเลยหรือไม่ข้อหนึ่ง และที่ว่าจำเลยได้แบ่งการครอบครองและรบกวนการครอบครองลงมา ๔-๕ ปีแล้ว ฟ้องโจทก์จะขาดอายุความหรือไม่ อีกข้อหนึ่ง โดยคู่ความได้สละประเด็นข้ออื่นทั้งหมดแล้ว ก็ไม่มีประเด็นที่จะต้องวินิจฉัยว่าฝ่ายใดเป็นผู้เช่าที่พิพาทต่อไป ที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าโจทก์เป็นผู้เช่าที่พิพากมาจากวัดฝ่ายเดียวจึงเป็นการวินิจฉัยนอกประเด็น ไม่มีทางที่จะแปลความไปได้ว่าโจทก์เป็นผู้เช่าที่พิพาทฝ่ายเดียว ส่วนจำเลยสละข้อต่อสู้เรื่องเช่าแล้วดังโจทก์อ้าง ศาลอุทธรณ์พิพากษาชอบแล้ว ฎีกาโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน

Share