แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ผู้รับจำนำยื่นคำร้องต่อศาลว่าทรัพย์ทีโจทก์ขอให้ศาลยึด – นั้นเป็นทรัพย์ที่จำเลยได้จำนำต่อผุ้ร้องไว้  ผู้ร้องมีบุริมสิทธิเหนือทรัพย์นั้น  ขอให้เอาที่ได้จากการขายหรือจำหน่ายทรัพย์นั้น  ชำระหนี้แก่ผู้ร้องก่อนเจ้าหน้าที่อื่น  รวมทั้งต้นเงินและดอกเบี้ยเป็นเงินจำนวนหนึ่ง  ดังนี้  คดีปรับเข้า ป.ม.วิ.แพ่งมาตรา  150  คือคำขอคำนวณเป็นราคาเงินได้  ผู้ร้องต้องเสียค่าขึ้นศาลตามอัตราของทุนทรัพย์ที่เรียกร้อง
จำเลยทำตั๋วสัญญาใช้เงินให้ธนาคารผู้ร้อง  500,000บาท  ได้ทำสัญญามอบไม้สักและไม้ซุงซึ่งอยู่  ณ  โรงเลื่อยจำเลยให้ผู้ร้องเป็นประกัน  ผู้ร้องได้เอาตราธนาคารดีประทับบนไม้  และทำหนังสือให้คนดูแลโรงเลื่อยจำเลยเป็นผู้ดูแลรักษา   แต่จำเลยมีสิทธิ์ที่จะนำไม้เหล่านี้ไปเลื่อยและขายได้  โดยขออนุญาตผู้ร้อง  แต่ต้องหามาทดแทน  ดังนี้  ยังไม่พอที่จะให้ถือว่าทรัพย์อยู่ในความครอบครองของผู้รับจำนำหรือบุคคลภายนอกผู้ใดตาม  ก.ม.  เพราะผู้จำนำจะนำไม้ที่จำนำไปเลื่อยหรือขายก็ได้ฉะนั้นธนาคารผู้รองจะอ้างบุริมสิทธิว่าเป็นการจำนำถูกต้องตาม  ก.ม.  มิได้
ย่อยาว
ทางพิจารณาได้ความว่า จำเลยได้ทำตั๋วสัญญาใช้เงินให้ผู้ร้อง  ๕๐๐,๐๐๐  บาท  และขอเปิดบัญชีอีก  ๒๐๐,๐๐๐  บาท  ได้ทำสัญญามอบไม้สักเลื่อยแล้ว  และไม้ซุงซึ่งอยู่โรงเลื่อยจำเลยให้ผู้ร้องเป็นประกัน  ผู้ร้องได้เอาตราของธนาคารผู้ร้องตีประทับไว้บนไม้  และทำหนังสือให้นายนิดคนของจำเลยเป็นผู้ดูแลรักษา  แต่ว่าจำเลยมีสิทธิที่จะนำไม้เหล่านี้  เลื่อยหรือขายได้โดยขออนุญาตผู้ร้อง  แต่ต้องหามาทดแทน  ครั้งต่อมาศาลได้ออกหมายยึดทรัพย์  จำเลยชั่วคราวในคดีนี้ตามคำขอขอโจทก์  เจ้าพนักงานได้ไปยึดไม้ที่โรงเลื่อยจำเลย  ผู้ร้องจึงยื่นคำร้องว่า  ไม้สักที่โจทก์ขอให้ศาลยึดนั้นเป็นไม้ที่จำเลยได้จำนำต่อผู้ร้องไว้  ผู้ร้องมีบุริมสิทธิเหนือทรัพย์ที่กล่าวมานี้  ขอให้เอาเงินที่ได้จากการขายหรือจำหน่ายไม้สักนี้ชำระหนี้ผู้ร้องก่อนเจ้า
ศาลชั้นต้นเห็นว่า  ผู้ร้องไม่มีสิทธิในฐานะผู้รับจำนำ  จึงให้ยกคำร้อง
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
ผู้ร้องฎีกา  ฯลฯ
ศาลฎีกาเห็นว่า  ที่จะถือว่าเป็นการจำนำตามกฎหมายนั้น  โดยปกติทรัพย์ที่จำนำจะต้องอยู่ในความครอบครองของผู้รับจำนำ  แต่ตามวิธีที่ผู้ร้องและจำเลยปฏิบัติดังได้กล่าวมานี้  ไม่พอที่จะให้ถือว่าทรัพย์อยู่ในความครอบครองของผู้รับจำนำหรือบุคคลภายนอกผู้ใดกฎหมาย  เพระผู้จำนำจะนำไม้ที่จำนำไปเลื่อยหรือขายก็ได้  จนปรากฎว่าในขณะที่โจทก์ไปยึดไม้มีไม้ซุงอยู่เพียง  ๒  –  ๓  ต้นในจำนวน  ๘๐  กว่าต้น  และไม้กระดานก็ลดเหลือรน้อยไม่ฉะนั้นผู้ร้องจะอ้างบุริมาสิทธิว่าเป็นการจำนำถูกต้องตามก.ม.มิได้  ศาลล่างทั้ง  ๒  วินิจฉัยชอบแล้ว
ส่วนฎีกาในเรื่องค่าขึ้นศาลนั้น  เห็นว่าคดีนั้นปรับเข้า ป.ม.วิ.แพ่งมาตรา  ๑๕๐  คือคำขอของผู้ร้องคำนวณเป็นราคาเงินผู้ร้องจึงต้องเสียค่าขึ้นศาลตามอัตราของทุนทรัพย์ที่เรียกร้อง  ฯลฯ  จึง พิพากษายืน

