คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 171/2495

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ผู้รับจำนำยื่นคำร้องต่อศาลว่าทรัพย์ทีโจทก์ขอให้ศาลยึด – นั้นเป็นทรัพย์ที่จำเลยได้จำนำต่อผุ้ร้องไว้ ผู้ร้องมีบุริมสิทธิเหนือทรัพย์นั้น ขอให้เอาที่ได้จากการขายหรือจำหน่ายทรัพย์นั้น ชำระหนี้แก่ผู้ร้องก่อนเจ้าหน้าที่อื่น รวมทั้งต้นเงินและดอกเบี้ยเป็นเงินจำนวนหนึ่ง ดังนี้ คดีปรับเข้า ป.ม.วิ.แพ่งมาตรา 150 คือคำขอคำนวณเป็นราคาเงินได้ ผู้ร้องต้องเสียค่าขึ้นศาลตามอัตราของทุนทรัพย์ที่เรียกร้อง
จำเลยทำตั๋วสัญญาใช้เงินให้ธนาคารผู้ร้อง 500,000บาท ได้ทำสัญญามอบไม้สักและไม้ซุงซึ่งอยู่ ณ โรงเลื่อยจำเลยให้ผู้ร้องเป็นประกัน ผู้ร้องได้เอาตราธนาคารดีประทับบนไม้ และทำหนังสือให้คนดูแลโรงเลื่อยจำเลยเป็นผู้ดูแลรักษา แต่จำเลยมีสิทธิ์ที่จะนำไม้เหล่านี้ไปเลื่อยและขายได้ โดยขออนุญาตผู้ร้อง แต่ต้องหามาทดแทน ดังนี้ ยังไม่พอที่จะให้ถือว่าทรัพย์อยู่ในความครอบครองของผู้รับจำนำหรือบุคคลภายนอกผู้ใดตาม ก.ม. เพราะผู้จำนำจะนำไม้ที่จำนำไปเลื่อยหรือขายก็ได้ฉะนั้นธนาคารผู้รองจะอ้างบุริมสิทธิว่าเป็นการจำนำถูกต้องตาม ก.ม. มิได้

ย่อยาว

ทางพิจารณาได้ความว่า จำเลยได้ทำตั๋วสัญญาใช้เงินให้ผู้ร้อง ๕๐๐,๐๐๐ บาท และขอเปิดบัญชีอีก ๒๐๐,๐๐๐ บาท ได้ทำสัญญามอบไม้สักเลื่อยแล้ว และไม้ซุงซึ่งอยู่โรงเลื่อยจำเลยให้ผู้ร้องเป็นประกัน ผู้ร้องได้เอาตราของธนาคารผู้ร้องตีประทับไว้บนไม้ และทำหนังสือให้นายนิดคนของจำเลยเป็นผู้ดูแลรักษา แต่ว่าจำเลยมีสิทธิที่จะนำไม้เหล่านี้ เลื่อยหรือขายได้โดยขออนุญาตผู้ร้อง แต่ต้องหามาทดแทน ครั้งต่อมาศาลได้ออกหมายยึดทรัพย์ จำเลยชั่วคราวในคดีนี้ตามคำขอขอโจทก์ เจ้าพนักงานได้ไปยึดไม้ที่โรงเลื่อยจำเลย ผู้ร้องจึงยื่นคำร้องว่า ไม้สักที่โจทก์ขอให้ศาลยึดนั้นเป็นไม้ที่จำเลยได้จำนำต่อผู้ร้องไว้ ผู้ร้องมีบุริมสิทธิเหนือทรัพย์ที่กล่าวมานี้ ขอให้เอาเงินที่ได้จากการขายหรือจำหน่ายไม้สักนี้ชำระหนี้ผู้ร้องก่อนเจ้า
ศาลชั้นต้นเห็นว่า ผู้ร้องไม่มีสิทธิในฐานะผู้รับจำนำ จึงให้ยกคำร้อง
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
ผู้ร้องฎีกา ฯลฯ
ศาลฎีกาเห็นว่า ที่จะถือว่าเป็นการจำนำตามกฎหมายนั้น โดยปกติทรัพย์ที่จำนำจะต้องอยู่ในความครอบครองของผู้รับจำนำ แต่ตามวิธีที่ผู้ร้องและจำเลยปฏิบัติดังได้กล่าวมานี้ ไม่พอที่จะให้ถือว่าทรัพย์อยู่ในความครอบครองของผู้รับจำนำหรือบุคคลภายนอกผู้ใดกฎหมาย เพระผู้จำนำจะนำไม้ที่จำนำไปเลื่อยหรือขายก็ได้ จนปรากฎว่าในขณะที่โจทก์ไปยึดไม้มีไม้ซุงอยู่เพียง ๒ – ๓ ต้นในจำนวน ๘๐ กว่าต้น และไม้กระดานก็ลดเหลือรน้อยไม่ฉะนั้นผู้ร้องจะอ้างบุริมาสิทธิว่าเป็นการจำนำถูกต้องตามก.ม.มิได้ ศาลล่างทั้ง ๒ วินิจฉัยชอบแล้ว
ส่วนฎีกาในเรื่องค่าขึ้นศาลนั้น เห็นว่าคดีนั้นปรับเข้า ป.ม.วิ.แพ่งมาตรา ๑๕๐ คือคำขอของผู้ร้องคำนวณเป็นราคาเงินผู้ร้องจึงต้องเสียค่าขึ้นศาลตามอัตราของทุนทรัพย์ที่เรียกร้อง ฯลฯ จึง พิพากษายืน

Share