แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
การออกเช็คที่เป็นความผิดตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ.2534 มาตรา 4 นั้น องค์ประกอบที่สำคัญคือ เช็คดังกล่าวจะต้องเป็นเช็คที่ออกเพื่อชำระหนี้ที่มีอยู่จริงและสามารถบังคับได้ตามกฎหมาย เมื่อเช็คที่โจทก์นำมาฟ้องเป็นเช็คที่ไม่อาจฟ้องบังคับได้ตามกฎหมาย โจทก์นำเช็คมาฟ้องเป็นคดีนี้ให้จำเลยรับผิดไม่ได้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ.2534 มาตรา 4 และนับโทษต่อจากโทษของจำเลยในคดีอาญาหมายเลขดำที่ 2725/2549, 2726/2549 และ 2727/2549 ของศาลชั้นต้น
จำเลยให้การปฏิเสธ แต่รับว่าเป็นบุคคลคนเดียวกับจำเลยในคดีที่โจทก์ขอให้นับโทษต่อ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ.2534 มาตรา 4 จำคุก 6 เดือน ส่วนคดีที่โจทก์ขอให้นับโทษต่อไม่ปรากฏว่าศาลมีคำพิพากษาแล้วหรือไม่ จึงไม่อาจนับโทษต่อได้ ยกคำขอส่วนนี้
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ.2534 มาตรา 4 โดยอ้างว่าจำเลยออกเช็คพิพาทตามฟ้องเพื่อชำระหนี้เงินยืม 3,150,000 บาท แก่ผู้เสียหาย ซึ่งเป็นหนี้ที่มีอยู่จริงและบังคับได้ตามกฎหมาย แต่มิได้แนบสัญญากู้มาพร้อมฟ้องหรือกล่าวอ้างมาในคำฟ้องว่าได้มีการทำสัญญากู้ไว้เป็นหลักฐานหรือไม่ เพราะจำนวนหนี้เงินกู้ดังกล่าว หากมิได้มีหลักฐานแห่งการกู้ยืมเงินเป็นหนังสืออย่างใดอย่างหนึ่งลงลายมือชื่อผู้ยืมเป็นสำคัญจะฟ้องร้องบังคับคดีหาได้ไม่ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 653 วรรคหนึ่ง ต่อมาในชั้นพิจารณาโจทก์นำสืบว่า การกู้ยืมเงินระหว่างผู้เสียหายกับจำเลยมิได้ทำหลักฐานการกู้ยืมอย่างใดอย่างหนึ่ง เป็นการกู้ยืมด้วยวาจา เมื่อครบกำหนดแล้ว จำเลยไม่ชำระ ผู้เสียหายทวงถาม หลังจากทวงถามนานประมาณปีครึ่ง จำเลยได้ทำหนังสือรับสภาพหนี้ว่าจะชำระหนี้คืนผู้เสียหายภายในเวลา 2 ปี นับแต่วันทำสัญญา เห็นว่า การออกเช็คที่เป็นความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ.2534 มาตรา 4 นั้น องค์ประกอบที่สำคัญคือ เช็คดังกล่าวจะต้องเป็นเช็คที่ออกเพื่อชำระหนี้ที่มีอยู่จริงและสามารถบังคับได้ตามกฎหมาย เมื่อเช็คที่โจทก์นำมาฟ้องเป็นเช็คที่ไม่อาจฟ้องบังคับได้ตามกฎหมาย โจทก์นำเช็คมาฟ้องเป็นคดีนี้ให้จำเลยรับผิดไม่ได้ ปัญหาข้อนี้แม้ไม่มีฝ่ายใดยกขึ้นฎีกา แต่ศาลฎีกาก็มีอำนาจหยิบยกขึ้นวินิจฉัยได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบมาตรา 225 ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องมานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยในผล ไม่จำต้องวินิจฉัยฎีกาของโจทก์ต่อไปเพราะไม่ทำให้ผลคดีเปลี่ยนแปลง
พิพากษายืน