คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1679/2517

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยที่ 1 ได้ยื่นเรื่องราวต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ขอขายที่พิพาทแก่โจทก์โดยโจทก์ตกลงซื้อและทำสัญญามัดจำไว้แล้ว ตามสัญญาจำเลยที่ 1 ยินยอมให้โจทก์เข้าครอบครองที่พิพาททันที และจะโอนกรรมสิทธิ์กันต่อเจ้าพนักงานให้เสร็จภายในกำหนด 2 เดือนนับแต่วันทำสัญญาเป็นต้นไป ต่อมาจำเลยที่ 2 ทราบว่าจำเลยที่ 1ยื่นคำร้องขอขายที่พิพาทให้กับโจทก์ จึงยื่นคำร้องคัดค้านต่อนายอำเภอ มิให้จำเลยขายที่พิพาทให้โจทก์ จนกว่าจำเลยที่ 1 จะได้ชำระเงินกู้ให้จำเลยที่ 2 นายอำเภอเรียกโจทก์กับจำเลยที่ 2มาเปรียบเทียบ แต่ไม่ตกลงกัน จำเลยที่ 2 ได้ยื่นฟ้องจำเลยที่ 1 เรียกเงินกู้ที่จำเลยที่ 1 กู้ไปคืน และทำสัญญาประนีประนอมยอมความในวันเดียวกันนั้นเองโดยขายที่พิพาทให้จำเลยที่ 2 ศาลพิพากษาตามยอมแต่ยังไม่ได้โอนที่พิพาท เพราะโจทก์คัดค้านไว้ ดังนี้ แสดงว่าโจทก์ได้ตกลงรับซื้อที่พิพาทตามสัญญามัดจำ และยื่นเรื่องราวต่อพนักงานเจ้าหน้าที่จะให้จดทะเบียนสิทธิของโจทก์ได้อยู่ก่อนจำเลยที่ 2 แล้ว จำเลยที่ 2 เพิ่งมีสิทธิตามคำพิพากษาที่จะได้รับโอนที่พิพาทภายหลัง ทั้งจำเลยก็ทราบดีอยู่แล้วว่าจำเลยที่ 1 ไปยื่นคำร้องขอขายที่พิพาทให้โจทก์ก่อนแล้วการกระทำของจำเลยทั้งสองจึงเป็นไปโดยไม่สุจริตจะนำมาใช้ยันโจทก์ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกไม่ได้ จำเลยที่ 2 ไม่มีสิทธิที่จะให้จดทะเบียนสิทธิที่พิพาทหรือประมูลที่พิพาทระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 2 หรือขายทอดตลาดที่พิพาทเอาเงินแบ่งกันตามส่วนแต่อย่างใด

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องและเพิ่มเติมฟ้องว่า จำเลยที่ ๑ ได้ยื่นเรื่องราวต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ขอขายที่ดินสวน ๑ แปลงให้แก่โจทก์ โจทก์ตกลงซื้อและทำสัญญาวางมัดจำให้จำเลยรับไปแล้ว จำเลยยินยอมให้โจทก์ครอบครองที่ดินในทันทีและสัญญาจะโอนกรรมสิทธิ์ให้ภายในกำหนดเวลา ๒ เดือน ต่อมาจำเลยทั้งสองได้สมคบกันทำหนังสือสัญญากู้ขึ้น ๑ ฉบับมีข้อความว่า จำเลยที่ ๑ ได้กู้เงินจำเลยที่ ๒ ไป และเอาที่ดินแปลงที่จะขายให้โจทก์เป็นประกันเงินกู้ ต่อมาจำเลยที่ ๒ ได้เป็นโจทก์ฟ้องจำเลยที่ ๑ เรียกเงินกู้ตามสัญญาดังกล่าวและทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันในวันนั้นเอง โดยจำเลยที่ ๑ ยอมโอนที่ดินแปลงที่จะขายให้โจทก์ให้แก่จำเลยที่ ๒เป็นการใช้หนี้ศาลพิพากษาตามยอม แต่ขณะนี้ยังมิได้ทำการโอนทะเบียนขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๘๐, ๓๕๐, ๘๓และขอให้ศาลสั่งว่า คำสั่งศาลที่ให้โอนที่ดินของจำเลยที่ ๑ ให้จำเลยที่ ๒ ไม่ผูกพันโจทก์ ให้จำเลยที่ ๑ โอนขายที่ดินให้โจทก์ ถ้าจำเลยที่ ๑ ไม่สามารถโอนขายก็ให้คืนเงินมัดจำ และให้จำเลยทั้งสองร่วมรับผิดชอบใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ด้วย
จำเลยที่ ๑ ให้การรับสารภาพตามฟ้องทั้งส่วนแพ่งและส่วนอาญา
จำเลยที่ ๒ ให้การว่า จำเลยที่ ๑ ได้กู้เงินนายห้อยบิดาจำเลยที่ ๒และสัญญาว่าครบ ๑ ปี แล้วถ้าไม่เอาเงินต้นกับดอกเบี้ยมาชำระจะขายที่ดินพิพาทให้ ต่อมาจำเลยที่ ๒ ทราบว่าจำเลยที่ ๑ ได้ยื่นคำร้องขอขายที่ดินแปลงพิพาทให้โจทก์ จำเลยที่ ๒ จึงยื่นคำร้องคัดค้านต่อนายอำเภอนายอำเภอเรียกโจทก์กับจำเลยที่ ๒ มาเปรียบเทียบแต่ไม่ตกลงกันจำเลยที่ ๒ จึงได้ยื่นฟ้องจำเลยที่ ๑ เรียกเงินกู้รายนี้คืนจำเลยรับตามฟ้องยอมขายสวนพิพาทให้แก่จำเลยที่ ๒ โดยขอเพิ่มเงินอีก และจำเลยที่ ๑ ได้รับเงินเพิ่มนั้นไปแล้วจำเลยที่ ๒ ได้เข้าครอบครองตั้งแต่วันทำสัญญาประนีประนอมยอมความนั้น จำเลยที่ ๒ มีบุริมสิทธิเหนือที่พิพาทและอยู่เหนือลำดับหนี้โจทก์ซึ่งมีอยู่กับจำเลยที่ ๑ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำคุกจำเลยทั้งสองตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๕๐ และให้จำเลยที่ ๑ โอนขายที่ดินให้โจทก์ตามสัญญา ส่วนเบี้ยปรับนั้นจำเลยที่ ๒ มิใช่คู่สัญญากับโจทก์โจทก์ไม่มีสิทธิฟ้องเรียกจากจำเลยที่ ๒ คงเรียกได้เฉพาะจำเลยที่ ๑แต่เห็นว่าเบี้ยปรับที่โจทก์ขอมาสูงเกินควร จึงกำหนดให้จำเลยที่ ๑ ชดใช้ให้โจทก์เพียง ๑,๐๐๐ บาท ส่วนคำขอที่ว่าคำพิพากษาคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ ๓๐/๒๕๑๓ ของศาลชั้นต้นไม่ผูกพันโจทก์ไม่จำต้องสั่งเพราะคำพิพากษามีผลผูกพันเฉพาะคู่ความ และไม่ต้องด้วยข้อยกเว้นให้ผูกพันบุคคลภายนอก เรื่องทางแพ่งเป็นเรื่องที่จำเลยที่ ๑ จะต้องปฏิบัติแต่เพียงผู้เดียว ส่วนจำเลยที่ ๒ ไม่ต้องปฏิบัติแต่อย่างใด
จำเลยที่ ๒ อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้คำพิพากษาศาลชั้นต้นเป็นว่า ให้ยกฟ้องโจทก์ในคดีส่วนอาญาเฉพาะจำเลยที่ ๒ และให้โจทก์ชำระเงินค่าที่ดินที่ค้างชำระให้จำเลยที่ ๑ ด้วยนอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยที่ ๒ ฎีกาเฉพาะคดีส่วนแพ่ง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า เมื่อวันที่ ๑๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๑๓ จำเลยที่ ๑ ได้ยื่นเรื่องราวต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ขอขายที่พิพาทแก่โจทก์ โดยโจทก์ตกลงรับซื้อ และได้ทำสัญญามัดจำไว้ตามสัญญาจำเลยที่ ๑ ยินยอมให้โจทก์เข้าครอบครองที่พิพาททันที และจะโอนกรรมสิทธิ์กันต่อเจ้าพนักงานให้สำเร็จภายในกำหนด ๒ เดือนนับตั้งแต่วันทำสัญญา ต่อมาในเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๑๓ นั้นเอง จำเลยที่ ๒ ทราบว่าจำเลยที่ ๑ ยื่นคำร้องขอขายที่พิพาทให้โจทก์ จึงยื่นคำร้องคัดค้านต่อนายอำเภอมิให้จำเลยที่ ๑ ขายที่พิพาทให้โจทก์จนกว่าจำเลยที่ ๑ จะได้ชำระเงินกู้ให้จำเลยที่ ๒ นายอำเภอเรียกโจทก์กับจำเลยที่ ๒ มาเปรียบเทียบ แต่ไม่ตกลงกันครั้นต่อมาวันที่ ๑๐ มีนาคม ๒๕๑๓ จำเลยที่ ๒ ได้ยื่นฟ้องจำเลยที่ ๑ เรียกเงินกู้ที่จำเลยที่ ๑ กู้ไปคืน และในวันเดียวกันนั้นมีการประนีประนอมยอมความกันโดยขายที่พิพาทให้จำเลยที่ ๒ ศาลพิพากษาตามยอมและมีคำสั่งถึงนายอำเภอให้โอนที่พิพาทแก่จำเลยที่ ๒ แต่ยังมิได้ทำการโอนเพราะโจทก์คัดค้านไว้ ดังนี้ แสดงว่าโจทก์ได้ตกลงรับซื้อที่พิพาทตามสัญญามัดจำ และยื่นเรื่องราวต่อพนักงานเจ้าหน้าที่จะให้จดทะเบียนสิทธิของโจทก์ได้อยู่ก่อนจำเลยที่ ๒ แล้ว จำเลยที่ ๒ เพิ่งมีสิทธิตามคำพิพากษาที่จะได้รับโอนที่พิพาทภายหลัง ทั้งจำเลยทราบดีอยู่แล้วว่าจำเลยที่ ๑ ไปยื่นคำร้องขอขายที่พิพาทให้ก่อนแล้วการกระทำของจำเลยทั้งสองจึงเป็นไปโดยไม่สุจริต จะนำมาใช้ยันโจทก์ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกไม่ได้ จำเลยที่ ๒ ไม่มีสิทธิที่จะให้จดทะเบียนสิทธิที่พิพาทหรือประมูลที่พิพาทระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๒ หรือขายทอดตลาดที่พิพาทเอาเงินแบ่งกันตามส่วนแต่อย่างใด
พิพากษายืน

Share