คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1669/2548

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

จำเลยที่ 1 มีกรรมสิทธิ์รวมกับโจทก์และจำเลยที่ 2 ถึงที่ 4 ในที่ดินพิพาทโดยยังไม่ได้แบ่งแยกการครอบครองเป็นส่วนสัดซึ่งตาม ป.พ.พ. มาตรา 1360 วรรคหนึ่ง การใช้ทรัพย์สินกรรมสิทธิ์รวมต้องเป็นการใช้ที่ไม่ขัดต่อสิทธิแห่งเจ้าของรวมคนอื่นๆ การที่จำเลยที่ 1 ปลูกสร้างอาคารโดยเลือกบริเวณติดถนนสุขุมวิทโดยไม่ได้รับความยินยอมของเจ้าของรวมคนอื่น จึงไม่มีสิทธิที่จะทำได้ โจทก์ย่อมมีสิทธิฟ้องขอให้รื้อถอนสิ่งปลูกสร้างของจำเลยที่ 1 ออกจากที่ดินพิพาทได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์และจำเลยที่ 2 ถึงที่ 4 เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์รวมในที่ดินโฉนดเลขที่ 1128 ตำบลวังกระแจะ อำเภอเมืองตราด จังหวัดตราด เนื้อที่ประมาณ 34 ไร่ 2 งาน 43 2/10 ตารางวา โดยนางคร้าม วิสุทธิแพทย์ มารดาโจทก์และจำเลยทั้งสี่ทำพินัยกรรมยกให้ ต่อมาจำเลยที่ 1 ฟ้องโจทก์และจำเลยที่ 2 ถึงที่ 4 ขอแบ่งมรดกในที่ดินแปลงดังกล่าวและมีการทำสัญญาประนีประนอมยอมความกัน โดยโจทก์และจำเลยที่ 2 ถึงที่ 4 ตกลงให้เงินสดแก่จำเลยที่ 1 จำนวน 130,000 บาท และให้จำเลยที่ 1 มีกรรมสิทธิ์รวมในที่ดินดังกล่าว จำนวน 2 ไร่ เมื่อวันที่ 5 มกราคม 2541 จำเลยที่ 1 เข้าไปปลูกสร้างอาคารคอนกรีตมีลักษณะถาวรกว้างประมาณ 6 วา ยาวประมาณ 8 วา ลงในที่ดินดังกล่าวทางด้านทิศตะวันออกติดถนนสุขุมวิทโดยเจตนาครอบครองที่ดินส่วนนั้นอย่างเป็นเจ้าของเก็บผลประโยชน์เพียงผู้เดียว โดยไม่ได้รับความยินยอมจากโจทก์และจำเลยที่ 2 ถึงที่ 4 การกระทำของจำเลยที่ 1 ดังกล่าว ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายเพราะที่ดินดังกล่าวยังไม่มีการแบ่งแยกออกเป็นส่วนสัดว่าผู้ใดมีกรรมสิทธิ์บริเวณใด โจทก์บอกให้จำเลยที่ 1 หยุดการก่อสร้างแต่จำเลยที่ 1 ไม่เชื่อฟังจึงแจ้งให้จำเลยทั้งสี่แบ่งกรรมสิทธิ์ในที่ดินให้โจทก์เนื้อที่ 7 ไร่ 1 งาน 32 2/10 ตารางวา แต่จำเลยทั้งสี่เพิกเฉย ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย ขอให้จำเลยทั้งสี่จดทะเบียนแบ่งแยกกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 1128 ตำบลวังกระแจะ อำเภอเมืองตราด จังหวัดตราด ให้แก่โจทก์ จำนวน 7 ไร่ 1 งาน 32 2/10 ตารางวา หากจำเลยทั้งสี่ไม่ปฏิบัติให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลยทั้งสี่หากไม่สามารถแบ่งที่ดินกันได้ให้นำที่ดินออกขายในระหว่างเจ้าของรวม หากขายในระหว่างเจ้าของรวามไม่ได้ให้นำที่ดินออกขายทอดตลาดนำเงินมาแบ่งปันกันตามส่วนของแต่ละคน และให้จำเลยที่ 1 รื้อถอนสิ่งปลูกสร้างทั้งหมดออกจากที่ดินพิพาท ห้ามจำเลยที่ 1 ปลูกสร้างสิ่งใดๆ ลงในที่ดินพิพาทอีกต่อไป
จำเลยที่ 1 ให้การว่า เดิมที่ดินพิพาทเป็นกรรมสิทธิ์ของนายท้วม วิสุทธิแพทย์ บิดาโจทก์และจำเลยทั้งสี่ เมื่อนายท้วมถึงแก่ความตาย นางคร้าม วิสุทธิแพทย์ มารดาโจทก์และจำเลยทั้งสี่ได้เข้าครอบครองที่ดินพิพาทแทนโจทก์และจำเลยทั้งสี่ เมื่อนางคร้ามทำพินัยกรรมยกที่ดินพิพาทให้โจทก์และจำเลยที่ 2 ถึงที่ 4 จำเลยที่ 1 จึงได้ฟ้องโจทก์และจำเลยที่ 2 ถึงที่ 4 ให้แบ่งที่ดินพิพาทแก่จำเลยที่ 1 ต่อมาได้ตกลงทำสัญญาประนีประนอมยอมความแพ่งที่ดินพิพาทให้จำเลยที่ 1 เป็นเจ้าของรวมเนื้อที่ จำนวน 2 ไร่ จำเลย ที่ 1 ไม่มีอาชีพทำมาหาเลี้ยงตนเองและครอบครัวจึงเข้าปลูกสร้างร้านค้าเพื่อขายอาหารชั่วคราวเนื้อที่ประมาณ 24 ตารางวา ลงในที่ดินพิพาทด้านทิศตะวันออก มิได้ก่อสร้างอาคารแบบถาวร ตามที่โจทก์กล่าวอ้าง ทั้งเมื่อเริ่มเข้าปลูกสร้างโจทก์ก็ทราบดีแต่มิได้คัดค้านแต่อย่างใด เมื่อจำเลยที่ 1 ปลูกสร้างใกล้จะเสร็จจึงฟ้องจำเลยที่ 1 เพื่อจะกลั่นแกล้งให้ได้รับความเดือดร้อน จำเลยที่ 1 เป็นเจ้าของรวมในที่ดินพิพาท จำนวน 2 ไร่ ได้ปลูกสร้างร้านค้าลงในที่ดินพิพาทเนื้อที่เพียงเล็กน้อยไม่เกินสิทธิที่จำเลยที่ 1 มีอยู่ จำเลยที่ 1 กระทำไปโดยสุจริตและชอบด้วยกฎหมาย ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ 2 ถึงที่ 4 ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสี่จดทะเบียนแบ่งแยกกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 1128 ตำบลวังกระแจะ อำเภอเมืองตราด จังหวัดตราด ให้แก่โจทก์จำนวนเนื้อที่ 7 ไร่ 1 งาน 32 2/10 ตารางวา หากจำเลยทั้งสี่ไม่ปฏิบัติให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลยทั้งสี่ หากไม่สามารถแบ่งที่ดินกันได้ให้นำที่ดินออกขายในระหว่างเจ้าของรวม หากขายในระหว่างเจ้าของรวมไม่ได้ให้นำที่ดินออกขายทอดตลาดนำเงินมาแบ่งปันกันตามส่วนของแต่ละคน และให้จำเลยที่ 1 รื้อถอนสิ่งปลูกสร้างทั้งหมดออกจากที่ดินพิพาท ห้ามจำเลยที่ 1 ปลูกสร้างสิ่งใดๆ ลงในที่ดินพิพาทอีกต่อไป ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
จำเลยที่ 1 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืน ให้จำเลยที่ 1 ใช้ค่าทนายความชั้นอุทธรณ์ 1,500 บาท แทนโจทก์
จำเลยที่ 1 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีมีปัญหาข้อกฎหมายที่จะต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ 1 ว่า โจทก์มีสิทธิฟ้องขอให้รื้อถอนอาคารและสิ่งปลูกสร้างของจำเลยที่ 1 ออกจากที่ดินพิพาทหรือไม่จำเลยที่ 1 ฎีกาว่า จำเลยที่ 1 ก่อสร้างอาคารติดถนสุขุมวิท ซึ่งโจทก์และจำเลยที่ 2 ถึงที่ 4 ก็ทราบ การที่ไม่โต้แย้งคัดค้านจึงเป็นการที่โจทก์และจำเลยที่ 2 ถึงที่ 4 ให้ความยินยอมแล้ว อีกทั้งอาคารดังกล่าวเป็นเพียงอาคารชั่วคราว แสดงให้เห็นว่าจำเลยที่ 1 มิได้มีเจตนาที่จะครอบครองหรือรบกวนสิทธิของเจ้าของรวมคนอื่นแต่อย่างใด นอกจากนี้จำเลยที่ 1 เป็นเจ้าของรวมมีสิทธิเก็บดอกผลตามส่วนของตนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1360 วรรคสอง การที่จำเลยที่ 1 ก่อสร้างอาคารเพื่อขายอาหารนั้นเป็นการที่จำเลยที่ 1 เก็บดอกผลตามส่วนของตนในทรัพย์ดังกล่าว เห็นว่า ในปัญหาข้อนี้จำเลยที่ 1 รับในฎีกาของจำเลยที่ 1 ว่า จำเลยที่ 1 มีกรรมสิทธิ์รวมกับโจทก์และจำเลยที่ 2 ถึงที่ 4 ในที่ดินพิพาทโดยยังไม่ได้แบ่งแยกการครอบครองเป็นส่วนสัดซึ่งตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1360 วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า “เจ้าของรวมคนหนึ่งๆ มีสิทธิใช้ทรัพย์สินได้ แต่การใช้นั้นต้องไม่ขัดต่อสิทธิแห่งเจ้าของรวมคนอื่นๆ “ดังนั้น เมื่อฟังว่ายังไม่มีการแบ่งแยกการครอบครองออกเป็นส่วนสัดในที่ดินกรรมสิทธิ์รวมระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 ถึงที่ 4 การใช้ทรัพย์สินกรรมสิทธิ์รวมของจำเลยที่ 1 จึงต้องเป็นการใช้ที่ไม่ขัดต่อสิทธิแห่งเจ้าของรวมคนอื่นๆ ที่จำเลยที่ 1 ปลูกสร้างอาคารโดยเลือกบริเวณติดถนนสุขุมวิทโดยไม่ได้รับความยินยอมของเจ้าของรวมคนอื่น จึงไม่มีสิทธิที่จะทำได้ โจทก์ย่อมมีสิทธิฟ้องขอให้รื้อถอนสิ่งปลูกสร้างของจำเลยที่ 1 ออกจากที่ดินพิพาทได้ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 วินิจฉัยมานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยที่ 1 ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน ให้จำเลยที่ 1 ใช้ค่าทนายความชั้นฎีกา 1,500 บาท แทนโจทก์

Share