คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1658/2534

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

โจทก์ใช้ทางพิพาทมาเกินกว่า 10 ปี โดยมิได้ขออนุญาตจากจำเลยและมิใช่เป็นการใช้โดยถือวิสาสะ ทางพิพาทจึงตกเป็นทางภารจำยอมโดยอายุความ จำเลยนำสืบว่าโจทก์ใช้ทางพิพาทโดยขออนุญาตจากจำเลยโดยมิได้ให้การต่อสู้เป็นประเด็นไว้ การนำสืบดังกล่าวของจำเลยจึงเป็นการนำสืบนอกคำให้การและนอกประเด็น ไม่มีน้ำหนักอันควรรับฟัง.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของที่ดินตั้งอยู่ที่บ้านกระเชาะราก หมู่ที่ 13 ตำบลลำนางแก้ว อำเภอปักธงชัยจังหวัดนครราชสีมา ทิศเหนือจดที่ดินของนายไล มนตรา และที่ดินของจำเลย โจทก์ได้ปลูกบ้านอยู่อาศัยทำสวนผลไม้และสวนผักมาประมาณ50 ปีแล้ว และมีที่ดินอีก 2 แปลง อยู่ทางทิศเหนือของที่ดินจำเลยจำเลยเป็นเจ้าของที่ดินอยู่ติดกับที่ดินของโจทก์ มีอาณาเขตทิศหนือจดถนนสาธารณะ ทิศใต้จดที่ดินของโจทก์ ในการออกไปทำนาขนพืชผักผลไม้ออกไปจำหน่าย และขนข้างเปลือกจากที่นาของโจทก์มาเก็บไว้ที่บ้านโดยใช้เกวียนหรือรถยนต์เป็นยานพาหนะ โจทก์ใช้ทางผ่านที่ดินของจำเลยมาประมาณ 40 ปีแล้ว โดยเดิมโจทก์ใช้ทางตามบริเวณหมายเลข 3ในแผนผังสังเขปท้ายฟ้อง ซึ่งกว้าง 3.90 เมตร ยาวประมาณ 70 เมตรเข้าออกที่ดินของโจทก์ ต่อมาเมื่อประมาณ 20 ปีมานี้ จำเลยสร้างยุ้งข้าวในที่ดินบริเวณที่โจทก์เคยใช้เป้นทางเข้าออก โจทก์จึงต้องใช้ทางอ้อมยุ้งข้าวนั้นตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา โดยใช้ทางตามบริเวณหมายเลข 5 ในแผนผังสังเขปท้ายฟ้อง ซึ่งกว้างประมาณ 3.90 เมตรยาวประมาณ 65 เมตร เป็นทางเข้าออกทางดังกล่าวจึงตกอยู่ภายใต้ภาระจำยอม เพื่อประโยชน์แห่งที่ดินของโจทก์โดยอายุความ ต่อมาเมื่อเดือนกันยายน 2529 จำเลยได้ทำรั้วกว้างประมาณ 2.50 เมตรยาวประมาณ 70 เมตร ปิดกั้นทางภาระจำยอมจนโจทก์ไม่สามารถใช้เกวียนและรถยนต์เข้าออกสู่ที่ดินของโจทก์ได้ดังเดิม ขอให้จำเลยรื้อรั้วเปิดทางภาระจำยอมตามบริเวณหมายเลข 5 ในแผนผังสังเขปท้ายฟ้องถ้าจำเลยไม่รื้อ ก็ให้โจทก์เป็นผู้ซื้อโดยจำเลยเป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายให้จำเลยไปจดทะเบียนทางภาระจำยอมให้โจทก์ ถ้าจำเลยไม่ไปให้ถือเอาคำพิพากษาเป็นการแสดงเจตนาของจำเลย
จำเลยให้การว่า จำเลยเป็นเจ้าของที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์เลขที่ 29 ตำบลลำนาแก้ว อำเภอปักธงชัย จังหวัดนครราชสีมาโจทก์ไม่เคยใช้ที่ดินของจำเลยตามทางหมายเลข 5 ในแผนผังสังเขปท้ายฟ้อง เป้นทางเข้าออก แต่ใช้ทางหมายเลข 7 ในแผนสังเขปท้ายฟ้องเมื่อประมาณกลางปี พ.ศ. 2529 โจทก์ขอที่ดินจำเลยส่วนที่ติดกับทางหมายเลข 7 ในแผนผังสังเขปท้ายฟ้อง เพื่อขยายทางให้กว้างขึ้นจำเลยไม่ยอม ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ที่ดินของโจทก์อยู่ติดกับที่ดินของจำเลยด้านทิศเหนือของที่ดินจำเลยติดกับถนนสาธารณะ โจทก์ใช้ทางหมายเลข 5ในที่ดินของจำเลยออกไปสู่ถนนสาธารณะมาหลายปีแล้ว ต่อมาเดือนกันยายน2529 จำเลยได้กั้นรั้วตามเส้นปะสีแดงปิดทางดังกล่าว ปรากฏตามแผนที่เอกสารหมาย จ. 16 ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์มีว่าโจทก์ใช้ทางหมายเลข 5 จนทางดังกล่าวตกเป็นทางภาระจำยอมแก่ที่ดินของโจทก์โดยอายุความหรือไม่ ในข้อนี้จำเลยนำสืบอ้างเพียงลอย ๆ ว่า จำเลยอนุญาจให้โจทก์ใช้ทางหมายเลข 5 ตามเอกสารหมาย จ.16 ส่วนโจทก์มีตัวโจทก์เบิกความว่า เดิมโจทก์ใช้ทางหมายเลข 6และ 7 ตามเอกสารหมาย จ.16 เป็นทางเข้าออก ต่อมาจำเลยปลูกสร้างยุ้งข้าวขวางทางดังกล่าว โจทก์จึงใช้ที่ดินของจำเลยตามทางหมายเลข 5ตามเอกสารหมาย จ.16 แทน โจทก์ใช้ทางหมายเลข 5 มาประกอบ 20 ปีเศษแล้ว โดยมิได้ขออนุญาตจากจำเลย พิเคราะห์คำเบิกความของโจทก์ดังกล่าวแล้วเห็นว่า โจทก์มีพยานบุคคลหลายปากมาเบิกความสนับสนุนคือ นายตู้ ฤทธิ์ดอน นางสาวอุทัย ฤทธิ์ดอน นายอ่อน พะนะจะโปะนายสุทัศน์ ยังอยู่ นายทั่ง ทูนนะเทม นายยัน สุขตะคุ นายแสน ญาติดอนนายเลี่ยม จันทรชัย และนายมาก โพดพรมราช พยานโจตทก์เหล่านี้เคยใช้ทางหมายเลข 5 และยืนยันว่าโจทก์ใช้ทางหมายเลข 5 มาเกินกว่า 10 ปีแล้ว จากพยานหลักฐานของโจทก์ดังกล่าวมีน้ำนักเชื่อได้ว่าโจทก์ใช้ทางหมายเลข 5 มาเกินกว่า 10 ปีแล้วจริงโดยมิได้ขออนุญาตจากจำเลยและมิใช่เป็นการใช้โดยถือวิสาสะ ทางหมายเลข 5 จึงตกเป็นทางภาระจำยอมโดยอายุความ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1401 ที่จำเลยนำสืบว่าโจทก์ใช้ทางหมายเลข 5 โดยขออนุญาตจากจำเลยนั้นเห็นว่า ข้อนำสืบดังกล่าวนอกจากจะเจือสมคำพยานโจทก์ที่ยืนยันว่าโจทก์ใช้ทางหมายเลข 5 มาเกินกว่า 10 ปีแล้ว จำเลบยก็ยังมิได้ให้การต่อสู้เป็นประเด็นไว้ การนำสืบของจำเลยดังกล่าวเป็นการนำสืบนอกคำให้การและนอกประเด็น ไม่มีน้ำหนักอันควรรับฟัง…”
พิพากษากลับเป็นว่า ทางหมายเลข 5 ตามเอกสารหมาย จ.16 เป็นทางภาระจำยอม ให้จำเลยรื้อรั้วเปิดทางและไปจดทะเบียนภาระจำยอมให้โจทก์.

Share