แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยให้คนอื่นจัดตั้งกลึงเหล็กเครื่องเรือยนต์ โดยใช้เครื่องยนต์น้ำมันก๊าสเป็นกำลังเช่นนี้ก็ดี หรือแม้ว่าได้ทำโรงกลึงแต่ชั้นล่าง ใช้ชั้นบนเป็นที่อยู่ก็ดี ก็ถือว่าได้ใช้ส่วนหนึ่งของเรือนเป็นที่ประกอบการค้าจึงไม่ได้รับความคุ้มครองตาม พระราชบัญญัติควบคุมค่าเช่าในภาวะคับขัน
ฎีกาที่ 301/2494 ฎีกาที่ 1933/2494
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยได้เช่าที่ดินส่วนหนึ่งของโฉนดเลขที่ 1722 ของโจทก์เพื่อก่อสร้างอาคารอาศัยมีกำหนด 1 ปี ค่าเช่าปีละ 300 บาทจำเลยได้ชำระค่าเช่าล่วงหน้าให้แล้ว โจทก์ให้จำเลยทำหนังสือเช่าจำเลยไม่ยอม และจำเลยให้บุคคลอื่นเข้าครอบครองใช้เป็นโรงงานตั้งเครื่องยนต์เครื่องกลึง โจทก์จึงบอกเลิกสัญญาและให้จำเลยรื้อย้าย จำเลยเพิกเฉย จึงขอให้ศาลบังคับให้จำเลยรื้อย้ายออกไป
จำเลยต่อสู้ว่าโจทก์จะเป็นเจ้าของที่พิพาทหรือไม่ ๆ ทราบ จำเลยไม่ได้เช่าจากโจทก์จำเลยเช่าจาก น.ส.เนื่อง และได้ตกลงเช่าโดยไม่มีกำหนดเวลาจำเลยได้รับความคุ้มครองตามพระราชบัญญัติควบคุมค่าเช่าฯ จำเลยไม่ได้ตั้งเครื่องยนต์ เครื่องกลึงทำเป็นโรงงานน.ส.เนื่องได้รับชำระค่าเช่าปี 2496 แล้ว จำเลยมีสิทธิจะอยู่ต่อไปจนครบกำหนดโจทก์หรือผู้อื่นใดไม่เคยบอกเลิกการเช่า
ศาลแขวงธนบุรีฟังข้อเท็จจริงว่า
1. จำเลยเช่าจากโจทก์
2. โจทก์บอกเลิกสัญญาแล้ว
3. ฟังว่าจำเลยได้ตั้งเครื่องยนต์เครื่องกลึงผิดจากข้อตกลงระหว่างโจทก์กับจำเลย และจำเลยได้กระทำไปเพื่อการค้า หาใช่เพื่ออยู่อาศัยอย่างเดียวไม่
พิพากษาให้จำเลยรื้อย้ายอาคารออกไปจากที่พิพาท
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์เห็นว่าคดีนี้เป็นคดีมโนสาเร่คงอุทธรณ์ได้แต่เฉพาะปัญหาข้อกฎหมายซึ่งมีว่าอาคารที่จำเลยปลูกสร้างลงในที่เช่านี้เป็นเคหะตามความหมายในพระราชบัญญัติควบคุมค่าเช่าฯ หรือไม่ ศาลอุทธรณ์เห็นว่าศาลชั้นต้นฟังข้อเท็จจริงไว้เพียงว่าจำเลยได้ตั้งเครื่องยนต์เครื่องกลึงที่เรือนนี้ แต่จำเลยจะได้ตั้งเครื่องยนต์ เครื่องกลึงเพื่ออะไรและได้ประกอบกิจการใดเกี่ยวกับเครื่องยนต์ เครื่องกลึงนั้นบ้างหรือไม่ อันจะส่อแสดงว่าจำเลยเช่าที่ดินปลูกโรงเรือนเพื่อประกอบกิจธุรการค้านั้นไม่มีปรากฏในคำพิพากษาศาลชั้นต้น และโจทก์นำสืบอะไรไม่ได้นอกเหนือกว่าที่กล่าวแล้วจึงต้องถือว่าเรือนจำเลยเป็นเคหะตามความหมายแห่งพระราชบัญญัติควบคุมค่าเช่าฯ พิพากษากลับให้ยกฟ้องโจทก์
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่าจำเลยให้คนอื่นจัดตั้งกลึงเหล็กเครื่องยนต์โดยใช้เครื่องยนต์น้ำมันก๊าสเป็นกำลังและแถวนั้นก็มีผู้ทำการแก้เครื่องเรือนยนต์เครื่องติดท้ายอยู่ด้วย เห็นว่าจำเลยใช้ส่วนหนึ่งของเรือนเป็นที่ประกอบการค้า ตามนัยคำพิพากษาฎีกาที่ 301/2494 ระหว่าง พระเจ้าวรวงศ์เธอพระองค์เจ้าจุลจักรพงษ์ โดยนายสถิตย์นิยมศิลป์ ผู้รับมอบอำนาจ โจทก์ นางหงัน แซ่ม้า จำเลย อนึ่งแม้ว่าจำเลยได้ทำโรงกลึงแต่ชั้นล่าง และใช้ชั้นบนเป็นที่อยู่ก็ไม่ได้รับความคุ้มครองเช่นเดียวกันตามนัยคำพิพากษาฎีกาที่ 1933/2494 ระหว่าง เจ้าจอมสมบูรณ์ในรัชกาลที่ 5 โดยนายกระสินธ์ พันประเสริฐผู้รับมอบอำนาจโจทก์ นางง้วยหรือฮ๊วย กับพวก จำเลย
พิพากษากลับคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ให้บังคับคดีตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น