แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
ผู้ตายใช้อาวุธปืนลูกซองสั้นยิงไปบริเวณชานบ้านของจำเลยซึ่งขณะนั้นจำเลยกับนางพ.ภริยากำลังนั่งรับประทานอาหาร กระสุนปืนถูกนาง พ. ล้มฟุบลงจำเลยคว้ามีดโต้กระโดดจากบ้านลงไปเพื่อฟันผู้ตาย ผู้ตายยิงปืนอีก 1 นัด แต่ไม่ถูกจำเลย จำเลยจึงใช้มีดฟันไป และผู้ตายยกแขนทั้งสองข้างขึ้นรับ แล้วผู้ตายก็ได้หันหลังจะขึ้นบันไดบ้านซึ่งจำเลยเข้าใจว่า ผู้ตายจะขึ้นไปเอากระสุนปืนมายิงจำเลยอีก ดังนั้นจำเลยจึงใช้มีดฟันทางด้านหลังถูกที่ต้นคอ ผู้ตายเซมาทางด้านหลัง จำเลยจึงฟันซ้ำอีก 1 ที ถูกบริเวณใบหน้าแสดงว่าขณะที่จำเลยไล่ฟันผู้ตายนั้น ผู้ตายยังถือปืนอยู่ตลอดเวลา และสามารถยิงมายังจำเลยได้ การที่จำเลยใช้มีดฟันผู้ตายไปจนอาวุธปืนจะหลุดไปจากมือของผู้ตาย ย่อมเป็นการป้องกันพอสมควรแก่เหตุ เพราะหากปืนยังอยู่ในมือผู้ตายตราบใดภยันตรายก็จะมีแก่จำเลยอยู่จนตราบนั้น และเป็นเรื่องที่ผู้ตายตั้งใจมาทำร้ายจำเลย จำเลยจึงมีสิทธิป้องกันตัวได้.
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288 และริบของกลาง
จำเลยให้การต่อสู้อ้างเหตุป้องกัน
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 288 ประกอบมาตรา 69 จำคุก 1 ปี 6 เดือน จำเลยให้การต่อศาลเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 1 ปี ริบของกลาง
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์ ไม่ริบมีดของกลาง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว คดีมีปัญหาเพียงว่า การกระทำของจำเลยเป็นการป้องกันพอสมควรแก่เหตุหรือไม่ ข้อเท็จจริงในคดีนี้ปรากฏตามบันทึกการตรวจสถานที่เกิดเหตุเอกสารหมาย จ.6แผนที่สังเขปแสดงสถานที่เกิดเหตุเอกสารหมาย จ.4, จ.7 ซึ่งจำเลยไม่โต้แย้งว่าไม่ถูกต้องแต่อย่างใด และคำพยานโจทก์จำเลยซึ่งต้องกันว่า บ้านผู้ตาย บ้านนางสายพิณ และบ้านจำเลยอยู่ติด ๆ กัน ตามแผนที่สังเขปแสดงสถานที่เกิดเหตุเอกสารหมาย จ.4 วันเกิดเหตุเวลาประมาณ19.30 นาฬิกา ผู้ตายซึ่งดื่มสุราแล้วประมาณครึ่งขวด ได้เดินมาที่ข้างรั้วบ้านจำเลย แล้วใช้ปืนลูกซองสั้นยิงไปบริเวณชานบ้านของจำเลยซึ่งขณะนั้นจำเลยกับนางพันธ์ภริยาจำเลยกำลังนั่งกินอาหาร กระสุนปืนถูกนางพันธ์ล้มฟุบลงไป จำเลยจึงคว้ามีดโต้กระโดดจากบ้านลงไปเพื่อฟันผู้ตาย ผู้ตายยิงปืนอีก 1 นัด แต่ไม่ถูกจำเลย จำเลยใช้มีดโต้ฟันผู้ตายหลายครั้งจนผู้ตายถึงแก่ความตาย แล้วไปแจ้งความต่อนายบุญมีผู้ใหญ่บ้านท้องที่และพาคนเจ็บคือนางพันธ์ส่งโรงพยาบาล โจทก์ฎีกาว่า การที่จำเลยใช้มีดโต้วิ่งไล่ผู้ตาย และฟันผู้ตายถูกที่แขนผู้ตายถลาล้มลงไปหมดหนทางที่จะต่อสู้แล้ว ผู้ตายก็วิ่งหนีเข้าไปภายในบ้านของผู้ตาย จำเลยวิ่งไล่ตามและฟันผู้ตายตอนจะขึ้นบันไดอีกเป็นการกระทำเกินสมควรแก่เหตุที่จะป้องกัน เห็นว่า ข้อเท็จจริงที่โจทก์อ้างในฎีกานั้นยังคลาดเคลื่อนเพราะคำรับของจำเลยในชั้นสอบสวนที่โจทก์อ้างเป็นฎีกามีความว่า ผู้ตายวิ่งหนีไปทางบ้านของผู้ตาย จำเลยไล่ติดตามไปอย่างกระชั้นชิด ผู้ตายวิ่งเข้าไปในประตูรั้วบ้านของผู้ตาย แล้วผู้ตายหันหน้ามาทางจำเลยพร้อมกับใช้ปืนยิงสวนมาทันที 1 นัด แต่กระสุนพลาดไม่ถูกจำเลย จำเลยจึงใช้มีดฟันไปและผู้ตายยกแขนทั้งสองข้างขึ้นรับ แล้วผู้ตายก็ได้หันหลังจะขึ้นบันไดบ้าน ซึ่งจำเลยเข้าใจว่า ผู้ตายจะขึ้นไปเอากระสุนปืนมายิงจำเลยอีก ดังนั้นจำเลยจึงใช้มีดฟันทางด้านหลังถูกที่ต้นคอ ผู้ตายเซมาทางด้านหลัง จำเลยจึงฟันซ้ำอีก 1 ที ถูกบริเวณใบหน้า ผู้ตายจึงล้มลงที่พื้นดิน ตามคำรับของจำเลยในชั้นสอบสวนมีเพียงเท่านี้แสดงว่าขณะที่จำเลยไล่ฟันผู้ตายนั้น ผู้ตายยังถือปืนอยู่ตลอดเวลาและสามารถยิงมายังจำเลยได้ การที่จำเลยใช้มีดฟันผู้ตายไปจนอาวุธปืนจะหลุดไปจากมือของผู้ตายย่อมเป็นการป้องกันพอสมควรแก่เหตุ เพราะหากปืนยังอยู่ในมือผู้ตายตราบใด ภยันตรายก็จะมีแก่จำเลยอยู่จนตราบนั้น และเป็นเรื่องที่ผู้ตายตั้งใจมาทำร้ายจำเลย จำเลยมีสิทธิป้องกันตัวได้ ศาลอุทธรณ์ภาค 1 เห็นว่าจำเลยกระทำการเพื่อป้องกันตัวพอสมควรแก่เหตุ ศาลฎีกาเห็นด้วย ฎีกาโจทก์ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน.