แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
คดีแรกโจทก์ฟ้องเรียกเงินเดือนเดือนสุดท้าย เงินสะสมพร้อมดอกเบี้ย และเงินบำเหน็จจากจำเลย อ้างว่าจำเลยไม่คืนเงิน ตามสิทธิให้แก่โจทก์ ศาลฎีกาวินิจฉัยว่าโจทก์ไม่มีสิทธิ เรียกเงินจำนวนนี้คืน เพราะโจทก์ตกลงยินยอมให้จำเลยหักเงิน จำนวนนี้ชำระหนี้ที่โจทก์เป็นหนี้เงินยืม จากจำเลยส่วนหนึ่ง คดีนี้โจทก์ฟ้องเรียกเงินจำนวนเดียวกันคืนอีกอ้างว่าเป็นลาภมิควรได้ จำเลยไม่มีสิทธิหักเงินไว้ชำระหนี้เพราะไม่มีหนี้ต่อกันจึงต้องคืนแก่โจทก์ ประเด็นแห่งคดีก็เหมือนกับคดีแรกว่า โจทก์มีสิทธิเรียกเงินจำนวนนี้คืนจากจำเลยได้หรือไม่ โดยจะนำเงินจำนวนนี้ไปหักหนี้ที่ ยืมจากจำเลยไปได้หรือไม่ เป็นการเรียกทรัพย์คืนโดยอาศัยเหตุอย่างเดียวกัน ฟ้องคดีนี้จึงเป็นฟ้องซ้ำ
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ทำงานกับจำเลยจนเกษียณอายุ และออกจากงาน มีสิทธิได้รับเงินเดือนเดือนสุดท้าย เงินสะสม และเงินบำเหน็จ จำเลยเคยฟ้องโจทก์และศาลพิพากษาว่าโจทก์ไม่ต้องชำระเงินยืมทดรอง และโจทก์ได้ฟ้องจำเลยเรียกทรัพย์สิน แต่จำเลยชนะคดีโดยศาลพิพากษาว่าจำเลยมีสิทธิหักเงินเดือน เงินสะสม เงินบำเหน็จของโจทก์ไว้ได้ แต่เมื่อคดีแรกศาลพิพากษาว่าโจทก์ไม่มีหนี้ติดค้างกับจำเลย แม้จำเลยจะชนะคดีหลัง จำเลยก็ไม่มีสิทธิยึดเงินดังกล่าวไว้ ต้องคืนแก่โจทก์เพราะเป็นลาภมิควรได้ ขอให้จำเลยชำระเงินเดือน เงินสะสม เงินบำเหน็จให้โจทก์พร้อมดอกเบี้ย
จำเลยให้การว่า คดีก่อนศาลฎีกาพิพากษาว่า โจทก์ตกลงยินยอมให้จำเลยหักเงินเดือน เงินสะสมพร้อมดอกเบี้ย และเงินบำเหน็จ ชำระหนี้ที่โจทก์เป็นหนี้เงินยืมจากจำเลยส่วนหนึ่ง จำเลยจึงมีสิทธิหักเงินดังกล่าวของโจทก์ไว้ได้การที่โจทก์นำคดีนี้มาฟ้อง ประเด็นข้อพิพาทเหมือนกัน อาศัยเหตุเรียกทรัพย์สินเช่นเดียวกัน จึงเป็นฟ้องซ้ำ และคดีขาดอายุความลาภมิควรได้ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีแรกโจทก์ฟ้องเรียกเงินคืนอ้างว่าจำเลยทำละเมิดไม่คืนเงินตามสิทธิให้แก่โจทก์ ศาลฎีกาวินิจฉัยชี้ขาดในประเด็นแห่งคดีว่า โจทก์ไม่มีสิทธิเรียกเงินจำนวนนี้คืน เพราะโจทก์ตกลงยินยอมให้จำเลยหักเงินจำนวนนี้ชำระหนี้ที่โจทก์เป็นหนี้เงินยืมจากจำเลยส่วนหนึ่งแล้ว ส่วนคดีนี้โจทก์ฟ้องเรียกเงินจำนวนเดียวกันคืนอีกอ้างว่าเป็นลาภมิควรได้ จำเลยไม่มีสิทธิหักเงินไว้ชำระหนี้เพราะไม่มีหนี้ต่อกันจึงต้องคืนแก่โจทก์ ประเด็นแห่งคดีก็เหมือนกับคดีแรกว่าโจทก์มีสิทธิเรียกเงินจำนวนนี้คืนจากจำเลยได้หรือไม่ โดยจะนำเงินจำนวนนี้ไปหักหนี้ที่ยืมจากจำเลยไปได้หรือไม่ เป็นการเรียกทรัพย์คืนโดยอาศัยเหตุเดียวกันทั้งสองคดี ฟ้องคดีหลังคือคดีนี้ของโจทก์จึงเป็นการฟ้องซ้ำซึ่งกฎหมายห้ามมิให้รื้อร้องฟ้องกันอีกตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๑๔๘
พิพากษายืน