คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1631/2503

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

วัดซึ่งเป็นนิติบุคคลย่อมมีอำนาจจัดการทรัพย์สมบัติของวัดได้ตามพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ.2484 มาตรา 43 แต่ศาสนสมบัติของวัดก็ต้องเป็นไปตามระเบียบซึ่งกระทรวงศึกษาธิการได้ตราไว้ด้วยความเห็นชอบของคณะสังฆมนตรีตามพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ.2484 มาตรา 49
ฟ้องว่าวัดโจทก์จ้างผู้รับเหมาปลูกสร้างตึกแถวในที่ดินของวัดระหว่างก่อสร้างจำเลยเข้าดำเนินงานก่อสร้างเอง โดยโจทก์ไม่ยินยอม เมื่อจำเลยต่อสู้ว่าจำเลยมีอำนาจจัดการได้ตามกฎหมาย ตามระเบียบการจัดประโยชน์ศาสนสมบัติและต่อสู้ว่าจำเลยทำตามคำสั่งของสังฆนายกและสังฆมนตรีว่าการองค์การปกครองซึ่งเป็นผู้บังคับบัญชาของเจ้าอาวาสวัดโจทก์ ดังนี้ กรณีเป็นเรื่องที่จะต้องฟังข้อเท็จจริงต่อไปและโจทก์มีอำนาจฟ้องจำเลยโดยลำพังได้ ไม่จำเป็นต้องฟ้องสังฆนายกหรือสังฆมนตรีว่าการองค์การปกครองด้วย

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ได้จ้างผู้รับเหมาปลูกสร้างตึกแถวลงบนที่ดินของวัดโจทก์ ระหว่างก่อสร้างอยู่ จำเลยได้เข้าดำเนินการก่อสร้างแทนโดยไม่มีอำนาจ และโจทก์ไม่ยินยอม เป็นการละเมิดจึงขอให้ศาลสั่งห้ามจำเลย

จำเลยทั้ง 3 ให้การว่าจำเลยมีอำนาจจัดการได้ตามกฎหมายตามระเบียบการจัดประโยชน์ศาสนสมบัติและจำเลยทำตามคำสั่งของสังฆนายกและสังฆมนตรีว่าการองค์การปกครองซึ่งเป็นผู้บังคับบัญชาของเจ้าอาวาสวัดบึงโจทก์ ๆ ไม่มีอำนาจฟ้อง

โจทก์แถลงรับว่าจำเลยทำตามคำสั่งจริง แต่โต้แย้งว่า คำสั่งดังกล่าวไม่ชอบด้วยพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. 2484 มาตรา 43และโจทก์ไม่ติดใจเรียกสังฆนายกกับสังฆมนตรีว่าการองค์การปกครองมาเป็นจำเลยร่วม

ศาลชั้นต้นสั่งงดสืบพยาน แล้วพิพากษาว่า จำเลยเป็นตัวแทนและตัวแทนช่วง โจทก์ต้องฟ้องตัวการ เมื่อไม่ฟ้องหรือไม่เรียกตัวการมาเป็นจำเลยร่วม ก็ต้องยกฟ้อง แต่ไม่ตัดสิทธิโจทก์จะฟ้องใหม่

โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์เห็นว่า กรณีเป็นเรื่องละเมิด ไม่ใช่ตัวแทนโจทก์ฟ้องจำเลยได้ แต่คำสั่งของสังฆนายก และสังฆมนตรีจะชอบด้วยกฎหมายหรือไม่และโจทก์จะต้องปฏิบัติตามเพียงไรข้อเท็จจริงยังไม่ปรากฏ จึงยกคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้พิจารณาพิพากษาใหม่

จำเลยฎีกา

ศาลฎีกาเห็นว่า กรณีตามฟ้องและคำให้การดังนี้ เป็นเรื่องที่จะต้องฟังข้อเท็จจริงต่อไป และโจทก์มีอำนาจฟ้องได้ พิพากษายืน

Share