คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1624/2526

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยที่ 1 กู้เงินโจทก์ไป 70,000 บาท โดยมีจำเลยที่ 2 เป็นผู้ค้ำประกัน แต่จำเลยทั้งสองได้ลงลายมือชื่อในสัญญากู้เงินและสัญญาค้ำประกันโดยไม่ได้กรอกข้อความให้โจทก์ไว้ ต่อมาฝ่ายโจทก์ได้เขียนกรอกข้อความในสัญญาและเขียนจำนวนเงินกู้เป็น 136,770 บาท โดยจำเลยทั้งสองมิได้กู้ยืมเงินหรือค้ำประกันตามจำนวนเงินที่ปรากฏในสัญญานั้น โจทก์จึงไม่อาจฟ้องร้องบังคับคดีโดยอาศัยหลักฐานสัญญากู้ยืมและสัญญาค้ำประกันดังกล่าวได้
โจทก์ฟ้องจำเลยทั้งสองโดยอาศัยสัญญากู้ยืมและสัญญาค้ำประกันฉบับระบุจำนวนเงินกู้ 136,770 บาท ไม่ได้ฟ้องโดยอาศัยสัญญากู้ยืมและค้ำประกันจำนวน 70,000 บาท ตามที่จำเลยยอมรับ ศาลจะพิพากษาให้จำเลยใช้เงิน 70,000 บาทตามที่จำเลยยอมรับไม่ได้ เพราะสัญญาฉบับที่โจทก์ฟ้องกับสัญญาที่จำเลยยอมรับเป็นคนละฉบับกัน และโจทก์ไม่ได้ฟ้องขอให้จำเลยทั้งสองรับผิดใช้เงินให้ตามสัญญาที่จำเลยยอมรับ

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยกู้เงินโจทก์ ๑๓๖,๗๗๐ บาท โดยจำเลยที่ ๒ เป็นผู้ค้ำประกัน ถึงกำหนดจำเลยไม่ชำระเงินต้นและดอกเบี้ย ขอให้ศาลพิพากษาและบังคับ
จำเลยทั้งสองให้การว่า จำเลยที่ ๑ ไม่ได้กู้ยืมเงินโจทก์จำนวน ๑๓๖,๗๗๐บาท ความจริงจำเลยที่ ๑ เคยกู้เงินโจทก์ ๗๐,๐๐๐ บาท โจทก์ได้หลอกลวงจำเลยทั้งสองให้ลงลายมือชื่อในแบบพิมพ์สัญญากู้ยืมและค้ำประกันที่ยังไม่ได้กรอกข้อความ แล้วโจทก์ร่วมกับบุคคลอื่นกรอกข้อความลงในแบบพิมพ์สัญญากู้ยืมและค้ำประกันตามที่ฟ้อง โดยมิได้รับความยินยอมจากจำเลยทั้งสอง สัญญาดังกล่าวจึงเป็นเอกสารปลอม จำเลยทั้งสองไม่ต้องรับผิด ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงิน ๗๐,๐๐๐ บาทพร้อมดอกเบี้ยแก่โจทก์
โจทก์และจำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ฟังว่าสัญญากู้ยืมและค้ำประกันที่โจทก์นำมาฟ้องเป็นสัญญาปลอมจะบังคับให้จำเลยรับผิดชำระเงิน ๗๐,๐๐๐ บาทไม่ได้ พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า สัญญากู้ยืมและสัญญาค้ำประกันที่โจทก์นำมาฟ้องจำเลยทั้งสองได้ลงลายมือชื่อโดยไม่ได้กรอกข้อความให้โจทก์ไว้จริง ฝ่ายโจทก์เขียนกรอกข้อความเองโดยจำเลยที่ ๑ ไม่ได้กู้ยืมเงินและจำเลยที่ ๒ ไม่ได้ค้ำประกันตามจำนวนที่ปรากฏในสัญญานั้น โจทก์จึงไม่อาจฟ้องร้องบังคับคดีโดยอาศัยหลักฐานจากสัญญากู้ยืมและสัญญาค้ำประกันดังกล่าวได้
ที่โจทก์ฎีกาว่าจำเลยต้องรับผิดชำระเงินจำนวน ๗๐,๐๐๐ บาท ตามที่ยอมรับเพราะเป็นมูลหนี้ที่รวมอยู่ในสัญญาที่โจทก์นำมาฟ้องนั้น ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า สัญญากู้ยืมและสัญญาค้ำประกันที่โจทก์อ้างเป็นหลักฐานให้จำเลยทั้งสองรับผิดไม่ใช่เป็นสัญญากู้ยืมเงิน ๗๐,๐๐๐ บาท และสัญญาค้ำประกันที่จำเลยทั้งสองยอมรับว่าได้ทำให้โจทก์ไว้ เป็นคนละฉบับกัน และโจทก์ไม่ได้ขอให้จำเลยทั้งสองรับผิดใช้เงินให้โจทก์ตามสัญญาที่จำเลยยอมรับ ศาลจะพิพากษาให้จำเลยทั้งสองใช้เงิน ๗๐,๐๐๐ บาท ตามที่จำเลยที่ ๑ ยอมรับว่าได้ทำสัญญากู้ยืมโจทก์ไปและจำเลยที่ ๒ เป็นผู้ค้ำประกันไม่ได้
พิพากษายืน

Share