แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยที่ 1 ที่ 2 เป็นเจ้าพนักงาน(ผู้ใหญ่บ้านกำนัน) ร่วมกันละเว้นไม่นำปืน(ของกลาง) มีทะเบียนของผู้อื่นที่ตกอยู่กับคนร้ายซึ่งถูกเจ้าทรัพย์กับพวกยิงตายส่งพนักงานสอบสวนตามหน้าที่ โดยทุจริต ก็เป็นผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157 แล้ว ส่วนที่ยังร่วมกันกล่าวว่าเจ้าของปืนกระทำผิดส่งปืนนั้นให้คนร้ายให้เจ้าของปืนหาเงินมามอบให้จำเลยและจำเลยยังได้ขูดลบเลขทะเบียนปืนเดิมออก ตอกเลขใหม่ โดยว่าเพื่อจะช่วยมิให้พนักงานสอบสวนรู้ว่าปืนของกลางเป็นของเจ้าของปืน โดยความจริงจำเลยก็รู้อยู่ว่าเจ้าของปืนมิได้กระทำผิดในเรื่องคนร้ายเอาอาวุธปืนไปเลยนั้น การกระทำของจำเลยจึงมิใช่เพื่อจะช่วยเจ้าของปืนมิได้ต้องรับโทษ หรือให้รับโทษน้อยลงด้วย จึงคงเป็นผิดตามมาตรา 148 และมาตรา 265 อีกเท่านั้น และไม่เป็นผิดตามมาตรา 18+ และมาตรา+
ย่อยาว
คดีนี้โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ ๑ เป็นผู้ใหญ่บ้าน จำเลยที่ ๒ เป็นกำนันจำเลยที่ ๓ เป็นราษฎร สมคบกันกระทำผิด คือ บังอาจร่วมกันเอาอาวุธปืนแก๊ปยาวเครื่องหมาย อ.จ.๓/๒๑๗+ ของนายเกิด พุทธวงศ์ ซึ่งได้รับอนุญาตจากนายทะเบียนแล้ว ซึ่งอยู่ในความครอบครองของคนร้ายที่ถูกนายจันทร์ เอี้ยวกลีกิจ กับพวก ยิงตาย อันเป็นของกลางนำมาเก็บไว้ และละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยสุจริตไม่นำส่งต่อเจ้าพนักงานแล้วจำเลยร่วมกันใช้ตำแหน่งของจำเลยโดยมิชอบ ข่มขืนใจและจูงใจนายเกิด พุทธวงศ์ และนางแอ๋นหรือแอ๋ว พุทธวงศ์ ให้หาเงินมามอบให้จำเลย ๕,๓๐๖ บาท เพื่อจำเลยจะช่วยนายเกิดมิให้ต้องรับโทษในการกระทำผิดฐานสมคบร่วมกระทำผิดคนร้าย โดยหาว่านายเกิดให้อาวุธปืนดังกล่าวแก่คนร้ายไปใช้กระทำผิด แล้วจำเลยไม่จับนายเกิดส่งต่อเจ้าพนักงาน ในการช่วยเหลือนายเกิดดังกล่าวนี้ที่จำเลยสมคบกันแก้ไขปลอมเลขเครื่องหมายปืน อ.ธ.๓/๒๑๗๘ ดังกล่าวแล้ว เป็นเลข อ.ธ.๓/๑๓๑๑ เพื่อไม่ให้ตรงกับเลขทะเบียนอาวุธปืนของนายเกิด แล้วจำเลยได้บังอาจสมคบร่วมกันปลอมเลขเครื่องหมายทะเบียนที่อาวุธปืนของนายอุ่น พุทธวงศ์ ซึ่งไม่ได้รับอนุญาตจากนายทะเบียนและไม่มีเครื่องหมายเลขทะเบียน โดยทำเครื่องหมายเป็นเลขทะเบียนที่ อ.ธ.๓/๒๑๗๘ ขึ้น เพื่อให้หลงเชื่อว่าเป็นอาวุธปืนของนายเกิด ที่ได้รับอนุญาต ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๑๔๘,+,๑๕๗,๒๐+,๒๖๔,๒๖๕ และ+
จำเลยทั้ง ๓ ให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วฟังว่า จำเลยทั้ง ๓ กระทำผิดดังฟ้อง มึความผิดตามมาตรา ๑๔๘,๑๕๗,๑๘๔,๒๐+,๒๖๔ และ ๘๓ ลงโทษตามมาตรา ๑๔๘ ซึ่งเป็นบทหนักฐานเป็นพนักงานทุจริตต่อหน้าที่วางโทษจำเลยที่ ๑,๒ คนละ ๖ ปี จำเลยที่ ๓ เป็นผู้สมรู้ ๔ ปี ลดโทษคนละ ๓ ใน ๓ ส่วน คงจำคุกจำเลยที่ ๑,๒ คนละ ๔ ปี จำเลยที่สาม ๒ ปี ๘ เดือน
จำเลยทั้ง ๓ อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับยกฟ้องโจทก์
โจทก์ฎีกา ระหว่างฎีกาจำเลยที่ ๑ ถึงแก่กรรม คดีเกี่ยวกับจำเลยที่ ๑ ระงับตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๓๙(๑)
ศาลฎีกาพิจารณาแล้วฟังข้อเท็จจริงว่า รุ่งขึ้นจากสืบที่คนร้ายถูกยิงตาย จำเลยที่ ๑ ที่ ๒ ซึ่งเป็นผู้ใหญ่บ้าน กำนัน ได้ไปยังที่เกิดเหตุและไปแวะที่บ้านจำเลยที่ ๓ ซึ่งอยู่ใกล้ ที่เกิดเหตุ ปืนของนายเกิด(ปืนของกลาง) ตกอยู่ที่คนร้าย พวกเจ้าทรัพย์ได้เฝ้าคนร้ายไว้และมอบปืนของกลางนั้นให้จำเลยที่ ๑ และปรากฎว่าปืนของกลางถูกขูดลบเลขทะเบียนเดิมออก ตอกเลขใหม่ เพื่อแสดงว่าไม่ใช่ปืนของนายเกิด เพื่อเป็นการช่วยเหลือนายเกิดที่จะมิให้พนักงานสอบสวนรู้ว่าปืนที่อยู่ที่คนร้ายเป็นปืนของนายเกิด แล้วจำเลยที่ ๑ นำปืนที่ตอกเลขใหม่แล้วไปวางไว้ที่คนร้ายก่อนพนักงานจะสอบสวนไปถึง เชื่อตามคำพยานโจทก์ว่าจำเลยที่ ๑ กระทำการดังกล่าว โดยเรียกร้องเงินจากพวกนายเกิด เชื่อว่าจำเลยที่ ๒ รู้ว่าปืนของกลางที่คนร้ายอยู่ในความรักษาของจำเลยที่ ๑ และรู้ว่าเป็นปืนของนายเกิด น่าเชื่อว่าจำเลยที่ ๒ ได้รู้เห็นเป็นใจร่วมกระทำการกับจำเลยที่ ๑ และเรียกเงิน ส่วนจำเลยที่ ๓ เห็นว่า คดีรับฟังลงโทษจำเลยที่ ๓ ไม่ได้
สำหรับบทกฎหมายที่ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยที่ ๒ มีความผิดนั้น เห็นว่า เมื่อข้อเท็จจริงได้ความว่านายเกิดเจ้าของปืนมิได้กระทำความผิดในเรื่องคนร้ายเอาอาวุธปืนของนายเกิดไป และจำเลยก็รู้เช่นนั้นแล้ว ฉะนั้น การกระทำของจำเลยจึงมิใช่เพื่อจะช่วยนายเกิดมิให้รับโทษหรือให้รับโทษน้อยลงตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๘๕ จำเลยที่ ๒ จึงไม่มีความผิดตามมาตรา ๑๘๕,๒+ และเห็นว่า กรณีความผิดยังไม่มีการให้เงินหรือสิ่งใดต่อกัน ผลแห่งการกระทำผิดไม่น่าจะเกิดเสียหายร้ายแรง ทำให้การชั้นสอบสวนของจำเลยมีประโยชน์ต่อการพิจารณา เห็นสมควรวางโทษและลดโทษให้จำเลยได้รับน้อยลงอีก
พิพากษาแก้คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ว่า จำเลยที่ ๒ ผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๑๔๘,๑๕๗,๒๖๕,๘๓ ให้ลงโทษจำเลยที่ ๒ ตามมาตรา ๑๔๘ ซึ่งเป็นกระทงหนักและบทหนัก วางโทษจำคุก ๕ ปี ลดฐานปรานีตามมาตรา ๗๘ กึ่งหนึ่ง คงจำคุก ๒ ปี ๖ เดือน นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ และให้จำหน่ายคดีเกี่ยวกับนายชู จำเลยที่ ๑