คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 162/2540

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

ขณะเกิดเหตุเป็นเวลากลางคืนบ้านที่เกิดเหตุไม่ได้เปิดไฟฟ้าไว้ต้องอาศัยแสงสว่างของไฟฟ้าจากบ้านที่อยู่ใกล้เคียงแต่ไม่ปรากฏว่าสามารถมองเห็นได้ในระยะใกล้ไกลเพียงใดสำหรับไฟฟ้าที่เปิดอยู่ที่ปั๊มน้ำมันก็อยู่ห่างออกไปถึง50เมตรไม่น่าจะมีความสว่างพอให้มองเห็นคนร้ายได้ชัดเมื่อคนร้ายใช้อาวุธปืนยิงผู้เสียหายแล้วได้รีบวิ่งหลบหนีไปในทันที ผู้เสียหายย่อมไม่มีโอกาสได้สังเกตและจดจำหน้าคนร้ายได้ที่ผู้เสียหายได้เบิกความว่าระหว่างที่จำเลยวิ่งหลบหนีไปได้หันหน้ามามองผู้เสียหายจำได้ว่าเป็นจำเลยนั้นไม่น่าเชื่อและไม่สมเหตุผลผู้เสียหายเป็นคนพิการขาลีบเวลาเดินต้องใช้ไม้ค้ำยันเมื่อได้ยินเสียงปืนดังไม่น่าจะลุกได้ทันท่วงทีและเดินไปที่หน้าต่างได้ทันและมองเห็นจำเลยในขณะที่วิ่งหลบหนีหลังเกิดเหตุผู้เสียหายไม่ได้ระบุตัวคนร้ายในทันทีทันใดพยานโจทก์นอกจากนี้ไม่ได้รู้เห็นจำเลยกระทำผิดเจ้าพนักงานตำรวจผู้จับกุมก็จับจำเลยตามคำบอกเล่าของผู้เสียหายไม่อาจฟังประกอบคำเบิกความของผู้เสียหายให้มีน้ำหนักขึ้นได้ต้องยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้จำเลย

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนเครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืนพ.ศ. 2490 มาตรา 7, 8 ทวิ, 72, 72 ทวิ และประมวลกฎหมายอาญามาตรา 80, 91, 288, 371
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 288 ประกอบมาตรา 80 ลงโทษจำคุก 10 ปี ข้อหาอื่นให้ยก
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ทางพิจารณาโจทก์นำสืบว่า เมื่อวันที่15 เมษายน 2538 เวลาประมาณ 20 นาฬิกา ขณะที่นายสมพงษ์ นิลนามผู้เสียหายนอนอยู่บนบ้านนายยูโซะ มีเสียงปืนดังจากใต้ถุนบ้าน1 นัด กระสุนปืนทะลุหมอนถูกผู้เสียหายที่ไหล่ข้างขวาผู้เสียหายลุกขึ้นไปมองที่หน้าต่างด้านทิศตะวันตก เห็นจำเลยวิ่งออกจากใต้ถุนบ้านไปทางร้านค้า ระหว่างนั้นมีเจ้าพนักงานตำรวจสายตรวจผ่านมาได้พาผู้เสียหายส่งโรงพยาบาล ในคืนเกิดเหตุผู้เสียหายได้แจ้งความต่อพนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรอำเภอยะหริ่ง ระบุว่าจำเลยเป็นคนร้ายที่ใช้อาวุธปืนยิงผู้เสียหาย เจ้าพนักงานตำรวจจึงจับจำเลยในวันเวลาเดียวกัน
จำเลยนำสืบว่า วันเวลาเกิดเหตุอยู่ที่บ้านนายอุมา มะแซ
พิเคราะห์แล้ว คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาโจทก์ว่าจำเลยได้กระทำความผิดฐานพยายามฆ่าผู้เสียหายหรือไม่ เห็นว่าขณะเกิดเหตุเป็นเวลากลางคืน บ้านที่เกิดเหตุไม่ได้เปิดไฟฟ้าไว้ต้องอาศัยแสงสว่างของไฟฟ้าจากบ้านที่อยู่ใกล้เคียงแต่ไม่ปรากฏว่าสามารถมองเห็นได้ในระยะใกล้ไกลเพียงใด สำหรับไฟฟ้าที่เปิดอยู่ที่ปั๊มน้ำมัน ป.ต.ท.ที่อยู่ห่างออกไปถึง 50 เมตร ไม่น่าจะมีความสว่างพอให้มองเห็นคนร้ายได้ชัดประกอบกับเมื่อคนร้ายใช้อาวุธปืนยิงทำร้ายผู้เสียหายแล้วได้รีบวิ่งหลบหนีไปทันทีผู้เสียหายจะไม่มีโอกาสได้สังเกตและจดจำหน้าคนร้ายได้ ที่ผู้เสียหายเบิกความว่าระหว่างที่จำเลยวิ่งหลบหนีไปได้หันหน้ามามองผู้เสียหายมองเห็นหน้าได้ชัด จำได้ว่าเป็นจำเลยนั้น ไม่น่าเชื่อและไม่สมเหตุผล ผู้เสียหายเป็นคนพิการ ขาลีบ เวลาเดินต้องใช้ไม้ค้ำยันเมื่อได้ยินเสียงปืนดังไม่น่าจะลุกได้ทันท่วงทีและเดินไปที่หน้าต่างได้ทันและมองเห็นจำเลยในขณะที่วิ่งหลบหนี หลังเกิดเหตุผู้เสียหายไม่ได้ระบุตัวคนร้ายในทันทีทันใด คำเบิกความของผู้เสียหายมีพิรุธอยู่ทุกขั้นตอน พยานโจทก์นอกจากนี้ไม่ได้รู้เห็นจำเลยกระทำผิด นายดาบตำรวจมะรอนิง เจ๊ะมะเป็นเพียงผู้จับจำเลยตามคำบอกเล่าของผู้เสียหายจึงไม่อาจฟังประกอบคำเบิกความของผู้เสียหายให้มีน้ำหนักขึ้นได้พยานหลักฐานโจทก์ตกอยู่ในความสงสัยต้องยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้จำเลยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 227 วรรคสอง ไม่จำต้องวินิจฉัยพยานจำเลย ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษามานั้นชอบแล้ว ฎีกาโจทก์ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน

Share