คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 162/2530

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์เคยฟ้องจำเลยในข้อหาความผิดฐานยักยอกเงินของโจทก์มาครั้งหนึ่งแต่ถอนฟ้องไป แล้วโจทก์จึงมาฟ้องคดีนี้กล่าวหาว่าจำเลยกระทำผิดฐานปลอมเอกสารสิทธิใช้เอกสารสิทธิปลอมและยักยอกเงินของโจทก์ ซึ่งเป็นการยักยอกเงินคนละคราวและคนละรายกับที่ฟ้องในคดีก่อน แม้จะเป็นการกระทำในขณะปฏิบัติหน้าที่ประธานสวัสดิการอันเป็นมูลกรณีเดียวกับคดีก่อนแต่เป็นการกระทำที่ต่างกรรมต่างวาระกับที่จำเลยถูกฟ้องในคดีก่อนโจทก์จึงฟ้องได้ ไม่ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 36.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่าจำเลยเป็นกรรมการโจทก์ตำแหน่งประธานสวัสดิการของโจทก์ได้รับมอบหมายหน้าที่ให้รับผิดชอบการเบิกจ่ายเงินแผนกสวัสดิการตั้งแต่วันที่ 8 พฤษภาคม 2523 ถึงเดือนธันวาคม 2525 เมื่อวันที่ 21 พฤษภาคม 2523 เวลากลางวันตลอดมาจนถึงวันที่ 30 ธันวาคม2525 เวลากลางวันจำเลยได้ปลอมหรือใช้ผู้อื่นปลอมเอกสารแล้วจำเลยได้ใช้เอกสารสิทธิที่ปลอมขึ้นนั้นไปเบิกจ่ายเงินจากแผนกสวัสดิการของโจทก์ กับได้เบิกจ่ายเงินของโจทก์โดยไม่มีใบเสร็จรับเงินบ้าง เบิกเงินเกินกว่าจำนวนที่ปรากฏในใบเสร็จรับเงินบ้าง แล้วเบียดบังยักยอกเงินโจทก์ไปเป็นประโยชน์ของจำเลยหรือบุคคลที่สามโดยเจตนาทุจริต ขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 265, 268, 352, 91
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว วินิจฉัยว่าโจทก์เคยฟ้องจำเลยต่อศาลชั้นต้นตามคดีอาญาหมายเลขดำที่ 201/2526 หมายเลขแดงที่2550/2526 แล้วโจทก์ขอถอนฟ้อง ศาลชั้นต้นสั่งอนุญาตและให้จำหน่ายคดี คดีถึงที่สุดแล้ว ต่อมาโจทก์ฟ้องคดีนี้กล่าวหาว่าจำเลยกระทำผิดฐานปลอมเอกสารสิทธิ ใช้เอกสารสิทธิปลอมและยักยอกเงินของโจทก์ไปในระหว่างที่จำเลยทำหน้าที่ประธานสวัสดิการของโจทก์และโจทก์มอบหมายให้ครอบครองดูแลจัดการทรัพย์สินของโจทก์อันเป็นการกระทำกรรมเดียวและขั้นเดียวกับที่โจทก์ฟ้องจำเลยในคดีดังกล่าวต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 36 พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ในปัญหาตามฎีกาโจทก์ว่าฟ้องโจทก์ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 36 หรือไม่พิเคราะห์ฟ้องคดีนี้เทียบกับฟ้องคดีอาญาหมายเลขดำที่ 201/2526 หมายเลขแดงที่ 2550/2526 ของศาลชั้นต้นที่โจทก์ถอนฟ้องแล้ว เห็นว่าในคดีดังกล่าวโจทก์ฟ้องกล่าวหาว่าจำเลยยืมเงินทดรองไปจากโจทก์หลายครั้งรวม 149,964 บาท แล้วยักยอกเบียดบังเป็นของจำเลย และจำเลยปฏิบัติหน้าที่ประธานสวัสดิการก่อให้เกิดหนี้ผูกพันโจทก์อีกเป็นเงิน 377,791.20 บาท เป็นการกระทำผิดหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายให้จัดการทรัพย์สินโดยทุจริต แต่ในคดีนี้โจทก์ฟ้องว่าจำเลยปลอมเอกสารสิทธิ 15 ฉบับ และใช้เอกสารสิทธิปลอมนั้นเบิกจ่ายเงินจากโจทก์เป็นเงิน 165,959.75 บาท แล้วเบียดบังยักยอกเป็นของจำเลยและได้นำเอกสารอันมิใช่ใบเสร็จรับเงินมาเบิกเงิน เบิกเงินซ้ำ เบิกเงินเกินจำนวนในใบเสร็จรับเงิน ส่งเงินขาดจำนวน และทำบัญชีรับเงินสดน้อยกว่าที่รับจริง แล้วเบียดบังยักยอกเงินของโจทก์ไปอีกจำนวนหนึ่งเป็นเงิน 119,572.75 บาทซึ่งเป็นการยักยอกเงินคนละคราวและคนละรายกับที่ฟ้องคดีก่อน แม้เป็นการกระทำในขณะปฏิบัติหน้าที่ประธานสวัสดิการอันเป็นมูลกรณีเดียวกับคดีก่อนแต่เป็นการกระทำที่ต่างกรรมต่างวาระกับที่จำเลยถูกฟ้องในคดีก่อน โจทก์จึงฟ้องได้ ไม่ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 36 ทั้งเมื่อได้ความตามพยานหลักฐานชั้นไต่สวนมูลฟ้องดังกล่าวข้างต้นคดีโจทก์จึงมีมูล ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องโจทก์ยืนตามศาลชั้นต้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาโจทก์ฟังขึ้น
พิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ ให้ประทับฟ้องโจทก์ไว้พิจารณา และให้ศาลชั้นต้นดำเนินการต่อไป.

Share