คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1617/2498

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ห้ามมิให้ฟ้องคดีมรดกเมื่อพ้นกำหนด 1 ปี
โจทก์ฟ้องเรียกมรดกโดยฐานเป็นทายาท บรรยายฟ้องว่าที่ไม่ฟ้องภายในกำหนดอายุความมรดก 1ปี เพราะจำเลยมาสู่ขอบุตรสาวโจทก์ ๆ ยินยอมและตกลงกันว่าเมื่อแต่งงานกันแล้วก็จะได้ใส่ชื่อจำเลยและบุตรสาวโจทก์ โจทก์ถือว่าจำเลยครอบครองมรดกแทนโจทก์และเป็นสัญญากองทุนในการสมรสชอบที่จะบังคับได้ พฤติการณ์เช่นนี้ไม่เป็นการครอบครองแทนและโจทก์มิได้ฟ้องให้ปฏิบัติตามสัญญา หากฟ้องขอแบ่งมรดก คดีโจทก์จึงขาดอายุความตาม ป.พ.พ.ม.1754

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่านางผัดมีทรัพย์มรดกที่มิได้ทำพินัยกรรมหลายอย่างคือโฉนดที่ดิน ๑๗๖๖ เลขที่ ๒๒๔๐ และที่ ๑๖๘๐ เรือน ๑ หลังรวมราคา ๖๐,๖๐๐ บาท โจทก์เป็นพี่สาวร่วมบิดามารดาเดียวกับนางผัด ขณะนี้ทายาทผู้มีสิทธิได้รับมรดกมีอยู่รวมทั้งโจทก์ ๓ รายกับจำเลยผู้เป็นสามีด้วย โจทก์มีสิทธิได้รับ ๑ ใน ๓
นางผัดเจ้ามรดกเป็นคู่สมรสกับจำเลยก่อนใช้ ป.พ.พ.บรรพ ๕ และไม่มีผู้สืบสันดาน
นายผัดมีชื่อในโฉนดแต่ผู้เดียวที่ดินตามโฉนดดังกล่าวจึงเป็นมรดกโดยมิต้องแบ่งเป็นสินเดิม สินสมรสคือวินิจฉัยตาม พ.ร.บ.ลักษณะออกโฉนดที่ดิน ผู้ใดมีชื่อในโฉนดที่ดิน ผู้นั้นก็เป็นเจ้าของที่ดิน
ส่วนเรือนหนึ่งหลังเป็นสินเดิมของนางผัด จำเลยกับนางผัดมีสินสมรสถึง ๒ เท่าของสินเดิมนั้นเรือนที่เป็นสินเดิมตกได้แก่ญาตินางผัดตาม ก.ม.ลักษณผัวเมีย
จำเลยไปขอรับมรดกแล้วใส่ชื่อจำเลยเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์แต่ผู้เดียว ถือว่าจำเลยเป็นทายาทที่ยักย้ายหรือปิดบังทรัพย์มรดกส่วนที่ตนจะได้หรือมากกว่านั้นโดยฉ้อฉล จึงเป็นทายาทที่ต้องจำกัดมิได้รับมรดกตาม ป.พ.พ.ม. ๑๖๐๕ ทรัพย์มรดกรายนี้จึงตกเป็นส่วนของโจทก์ ๑ ใน ๓ ของทรัพย์สินทั้งหมดเป็นราคาประมาณ ๒๐,๐๐๐ บาท
ขอให้พิพากษาว่าการโอนกรรมสิทธิที่ดินแปลงหมายเลข ๑๗๖๖,๒๒๔๐,๑๖๘๔ ของจำเลยเป็นโมฆะให้สั่งทำลายการโอนกรรมสิทธิที่ดินหมายเลขโฉนดดังกล่าวทั้ง ๓ แปลงและพิพากษาว่าจำเลยเป็นทายาทที่ต้องถูกจำกัดมิให้รับมรดกและไม่มีสิทธิรับมรดกรายนี้กับห้ามจำเลยเกี่ยวข้อง ฯลฯ
จำเลยต่อสู้ว่านางผัดเจ้ามรดกเป็นภรรยาจำเลยจริงและได้ตายเมื่อวันที่ ๒๙ ม.ค.๙๕ โจทก์เป็นญาติกับนายผัดจริง ส่วนมา ๓ โฉนดและเรียกตามฟ้องเป็นสินสมรสระหว่างจำเลยกับนางผัดต้องแบ่งสินสมรสให้จำเลยกึ่งหนึ่งก่อนตาม ก.ม.เหลือเท่าใดเป็นมรดกเพราะจำเลยมีสินบริคณห์ ๔,๐๐๐ บาท โจทก์ไม่มีสิทธิจะฟ้องเอาทรัพย์สินทั้งหมด
จำเลยผู้เดียวเป็นผู้ออกค่าปลงศพนางผัดเป็นเงิน ๒๐,๐๐๐ บาท ซึ่งยังมิได้หักออกจากกองมรดก จำเลยไม่เคยยักย้ายหรือปิดบังมรดกส่วนใดเลย
อนึ่งจำเลยตัดฟ้องว่าฟ้องโจทก์ขาดอายุความแล้ว
หากถือว่ายังมีทรัพย์สินที่จะต้องแบ่งแก่ทายาทก็ขอศาลหักสินสมรสของจำเลยออกกึ่งหนึ่งก่อน กับหักค่าปลงศพออกอีก ๒๐,๐๐๐ บาท ออกใช้แก่จำเลย
ศาลจังหวัดพระนครศรีอยุธยาเห็นว่าคดีโจทก์ขาดอายุความตาม ป.พ.พ.ม. ๑๗๕๔ พิพากษายกฟ้อง และศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่าเรื่องอายุความนั้นโจทก์รับในคำฟ้องว่านับแต่เจ้ามรดกตายถึงวันฟ้องเป็นเวลาเกินกว่า ๑ ปีแล้ว โดยคำณวนได้ ๑ ปีกับ ๑๐ เดือน คดีโจทก์จึงขาดอายุความตาม ป.พ.พ.ม. ๑๗๕๔ แล้ว
ส่วนฎีกาของโจทก์ในข้อที่ว่าโจทก์จำเลยตกลงเรื่องแต่งงานบุตรสาวโจทก์กับจำเลยถือได้ว่าจำเลยครอบครองมรดกแทนและเป็นสัญญากองทุนในการสมรสชอบที่จะบังคับได้นั้น พฤติการณ์เช่นนี้ไม่เป็นการครอบครองแทน และโจทก์ก็มิได้ฟ้องให้ปฏิบัติตามสัญญา แต่โจทก์ฟ้องเรียกมรดกโดยฐานเป็นทายาท ฎีกาโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน

Share