แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
เงื่อนไขบางประการแม้จะปรากฎอยู่ในนิติกรรม หากฟังไม่ได้ว่าเป็นเงื่อนไขที่คู่สัญญาเจตนาให้มีไว้ ก็ถือว่าเงื่อนไขนั้นไม่มีอยู่ในสัญญา กล่าวคือศาลไม่ถือเอาเงื่อนไขนั้นมาบังคับ.
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องและยื่นคำร้องเพิ่มเติมว่า โจทก์จำเลยเป็นสามีภริยากัน ต่อมาจำเลยไม่พอใจตัวโจทก์ ผลสุดท้ายโจทก์จำเลยตกลงในเรื่องบุตร,ทรัพย์และค่าเลี้ยงดู โจทก์จึงพากันไปทำการหย่าที่อำเภอดุสิต จังหวัดพระนคร จำเลยเป็นผู้บอกเจ้าพนักงานที่เขียนสัญญาหย่าเป็นใจความว่า สินสมรสเกิดขึ้นใหม่โจทก์ไม่ต้องการ แต่ให้ลงชื่อบุตรในโฉนดทุกคน จำเลยต้องให้ค่าเลี้ยงดูโจทก์เดือนละ ๒๐๐ บาทนับแต่วันหย่าตลอดไปจนกว่าโจทก์จะได้สามีใหม่ บุตรโจทก์ ๗ คนจำเลยรับเลี้ยงดู ถึงเวลาเจ้าหน้าที่อ่านสัญญาหย่ากลับปรากฎว่าจำเลยให้ค่าเลี้ยงดูโจทก์เพียงเดือนละ ๑๐๐ บาท โจทก์ไม่ยอมลงชื่อในหนังสือหย่า จำเลยจึงให้เจ้าหน้าที่แก้ไขสัญญานั้น เมื่อเจ้าหน้าที่อ่านคราวหลังมีใจความว่าโจทก์ได้ค่าเลี้ยงดูเดือนละ ๒๐๐ บาทตามที่ตกลงกันมาก่อนโจทก์จึงได้ลงชื่อในหนังสือหย่าพร้อมด้วยจำเลย ต่อมาจำเลยไม่จ่ายค่าเลี้ยงดูแก่โจทก์ จึงมาฟ้องให้ศาลบังคับ
อนึ่ง เมื่อโจทก์ไปตรวจดูสัญญาหย่าภายหลังเมื่อฟ้องคดีแล้วปรากฎว่ามีข้อความแก้ไขมากโดยเฉพาะมีเงื่อนไขว่า “ถ้าจำเลยมีภรรยาใหม่” จึงจะให้ค่าเลี้ยงดูโจทก์ ข้อนี้โจทก์มิได้ตกลงด้วย จึงตกเป็นโมฆะ จึงขอให้ศาลบังคับให้จำเลยชำระค่าเลี้ยงดูโจทก์จนถึงวันฟ้องคิดเป็นเงิน ๑๘,๖๐๐ บาท พร้อมกับดอกเบี้ยงร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยต่อสู้ว่าได้ทำหนังสือหย่ากับโจทก์จริง ซึ่งจำเลยจะต้องให้ค่าเลี้ยงดูโจทก์ต่อเมื่อจำเลยมีภริยาใหม่ จำเลยยังไม่มีภริยาใหม่ จำเลยจึงไม่มีหน้าที่จะต้องให้ค่าเลี้ยงดูโจทก์ ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษาให้โจทก์แพ้คดี
โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยเชื่อว่า เงื่อนไขที่ว่าจำเลยจะต้องให้ค่าเลี้ยงดูโจทก์เดือนละ ๒๐๐ บาทเมื่อจำเลยแต่งงานใหม่นั้น เป็นเรื่องโจทก์มิได้ตกลงด้วย จึงบังคับไม่ได้ จึงพิพากษาให้จำเลยแก้คดีโจทก์ ให้จำเลยจ่ายค่าเลี้ยงดูโจทก์ ๑๘,๖๐๐ บาท กับดอกเบี้ยร้อยละ ๗ ครึ่งต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเงินเสร็จ และใช้ค่าธรรมเนียมค่าทนายด้วย.