คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1609/2516

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จ. ผู้เฝ้าบ้านของ น. กำลังถากหญ้าอยู่หน้าบ้านได้ยินเสียงแกรกในบ้าน จึงเดินไปเปิดประตู แต่เปิดไม่ออกขณะเรียกบุตรของ น. อยู่ จำเลยที่ 1 เข้ามาจับมือ จ.และบอกให้เข้าไปในบ้าน และไม่ให้ส่งเสียงดัง ซึ่งขณะนั้นจำเลยที่ 2 และที่ 3 กำลังลักทรัพย์ของเจ้าทรัพย์อยู่ การกระทำของจำเลยที่ 1 ดังกล่าวเป็นการใช้กำลังประทุษร้าย จ. ถือได้ว่าจำเลยร่วมกันลักทรัพย์โดยใช้กำลังประทุษร้าย มีความผิดฐานปล้นทรัพย์
โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยมีมีดเป็นอาวุธและร่วมกันปล้นทรัพย์โดยใช้อาวุธขู่เข็ญจะทำร้าย จ. ทางพิจารณาไม่ปรากฏว่าจำเลยมีอาวุธหรือขู่เข็ญจะทำร้าย จ. กลับได้ความว่าจำเลยเพียงแต่ร่วมกันปล้นทรัพย์โดยใช้กำลังประทุษร้าย จ. ดังนี้ ถือได้ว่าเป็นข้อแตกต่างที่มิใช่ข้อสารสำคัญทั้งจำเลยมิได้หลงต่อสู้ด้วย ศาลลงโทษจำเลยตามที่โจทก์ฟ้องได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องและขอแก้ฟ้องว่า จำเลยทั้งสามมีมีดปลายแหลมเป็นอาวุธ บังอาจร่วมกันปล้นทรัพย์ของนายแนม ชุมเชื้อ ไป โดยจำเลยใช้อาวุธขู่เข็ญนางเจิม ชุ่มเชื้อ ผู้เฝ้าบ้านของนายแนม ชุมเชื้อว่า ทันใดนั้นจะใช้กำลังประทุษร้ายหากขัดขืนหรือส่งเสียงดัง ขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๔๐, ๘๓ และให้จำเลยคืนหรือใช้ราคาทรัพย์เป็นเงิน ๑,๘๕๖ บาทแก่เจ้าทรัพย์
จำเลยที่ ๑ และที่ ๒ ให้การปฏิเสธ จำเลยที่ ๓ ให้การรับสารภาพ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๓๔๐, ๘๓ ให้จำคุกจำเลยที่ ๑ และที่ ๒ คนละ ๑๐ ปี จำเลยที่ ๓อายุไม่เกิน ๑๔ ปี ให้ส่งตัวไปรับการฝึกอบรมที่สถานพินิจและคุ้มครองเด็กจังหวัดสงขลาจนกว่าจะมีอายุครบ ๑๘ ปี ให้จำเลยร่วมกันคืนหรือใช้ราคาทรัพย์๑,๘๕๖ บาทแก่เจ้าทรัพย์
จำเลยที่ ๑ และที่ ๒ อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ ให้ยกฟ้องจำเลยที่ ๑ และที่ ๒ ส่วนจำเลยที่ ๓มีความผิดฐานลักทรัพย์ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๓๕(๗)(๘)(๑๒)จำเลยที่ ๓ อายุ ๑๔ ปี เห็นสมควรให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๗๔(๒) โดยให้มอบตัวแก่บิดามารดาหรือผู้ปกครองไป กำหนดให้บิดามารดาหรือผู้ปกครองระวังจำเลยที่ ๓ ไม่ให้ก่อเหตุร้ายภายใน ๒ ปีถ้าจำเลยที่ ๓ ก่อเหตุร้ายขึ้นภายในกำหนด ให้ปรับบิดามารดาหรือผู้ปกครองครั้งละ ๕๐๐ บาท ถ้าไม่มีบิดามารดาหรือผู้ปกครองมารับตัวภายในเวลาที่ศาลชั้นต้นกำหนดก็ให้จัดการตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้จำเลยที่ ๓คืนหรือใช้ราคาทรัพย์ ๑,๘๕๖ บาท แก่เจ้าทรัพย์
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า ข้อเท็จจริงในคดีนี้ได้ความตามที่โจทก์นำสืบว่าตามวันเวลาที่โจทก์กล่าวหา นางเจิมกำลังถากหญ้าอยู่หน้าบ้านได้ยินเสียงแกรกในบ้าน จึงเดินไปเปิดประตูแต่เปิดไม่ออก ขณะเรียกบุตรนายแนม จำเลยที่ ๑ เข้ามาจับมือนางเจิมและบอกให้เข้าไปในบ้านเมื่อมีคนเปิดประตูแล้ว นางเจิมเข้าไปยืนในบ้าน จำเลยที่ ๑ ไปยืนที่ประตูบ้านและบอกไม่ให้นางเจิมส่งเสียงดัง ขณะนั้นจำเลยที่ ๒ และที่ ๓ กำลังลักทรัพย์ของเจ้าทรัพย์อยู่ ตามข้อเท็จจริงดังกล่าว ศาลฎีกาเห็นว่า การกระทำของจำเลยที่ ๑เป็นการใช้กำลังประทุษร้ายนางเจิมแล้ว ถือได้ว่าจำเลยร่วมกันลักทรัพย์โดยใช้กำลังประทุษร้าย มีความผิดฐานปล้นทรัพย์
คดีนี้ถึงหากโจทก์จะบรรยายฟ้องว่าจำเลยทั้งสามมีมีดปลายแหลมเป็นอาวุธ บังอาจร่วมกันปล้นทรัพย์โดยใช้อาวุธขู่เข็ญนางเจิมว่าทันใดนั้นจะใช้กำลังประทุษร้ายหากขัดขืนหรือส่งเสียงดัง แต่ทางพิจารณาไม่ปรากฏว่าจำเลยมีอาวุธหรือใช้อาวุธขู่เข็ญว่าจะใช้กำลังประทุษร้ายนางเจิม กลับได้ความว่าจำเลยเพียงแต่ปล้นทรัพย์โดยใช้กำลังประทุษร้ายนางเจิมแล้วถือได้ว่าข้อแตกต่างดังกล่าวมิใช่ข้อสาระสำคัญ ทั้งจำเลยมิได้หลงต่อสู้ศาลลงโทษจำเลยตามที่โจทก์ฟ้องได้
พิพากษาแก้คำพิพากษาศาลอุทธรณ์เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๔๐ วรรค ๑ ให้จำคุกจำเลยที่ ๑ และที่ ๒ไว้มีกำหนดคนละ ๕ ปี ลดโทษให้คนละ ๑ ใน ๓ คงจำคุกจำเลยที่ ๑ และที่ ๒ไว้คนละ ๓ ปี ๔ เดือน ส่วนจำเลยที่ ๓ ให้บังคับคดีไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ให้จำเลยคืนหรือใช้ราคาทรัพย์ ๑,๘๕๖ บาทแก่เจ้าทรัพย์

Share