แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
โจทก์มอบพลอยจำนวน 3 หมู่ให้จำเลยไปขายโดยกำหนดราคาขั้นต่ำไว้ จำเลยจะขายในราคาสูงกว่าก็ได้ เช่นนี้ จำเลยย่อมมีสิทธิขายพลอยอย่างเป็นของตนเอง ไม่ใช่เป็นตัวแทนไปขายในนามของโจทก์แม้จะมีข้อตกลงให้ค่าตอบแทนแก่จำเลยเป็นเงิน 3 เปอร์เซ็นต์ของเงินที่ขายได้ ก็ไม่ทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างโจทก์จำเลยเปลี่ยนแปลงไปการที่จำเลยไม่ยอมคืนพลอยหรือใช้เงินให้โจทก์เป็นเพียงผิดข้อตกลงกัน ซึ่งโจทก์จะต้องใช้สิทธิเรียกร้องแก่จำเลยในทางแพ่ง หาเป็นเรื่องที่มีมูลความผิดในทางอาญาฐานยักยอกไม่
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 352,353, 90 ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว เห็นว่าคดีมีมูล ให้ประทับฟ้อง จำเลยให้การปฏิเสธ ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 352 และ มาตรา 353เป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท ซึ่งต้องใช้กฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดลงโทษแก่จำเลย ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 90 แต่อัตราโทษตามกฎหมายทั้งสองบทเท่ากัน จึงให้ลงโทษจำเลยตามมาตรา 352ประกอบด้วยมาตรา 90 แต่กระทงเดียว โดยให้จำคุก 1 ปี 6 เดือนจำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์ โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ปัญหาวินิจฉัยมีว่า จำเลยรับพลอยของโจทก์ไปขายหรือไม่ และการกระทำของจำเลยเป็นความผิดฐานยักยอกตามที่โจทก์ฟ้องหรือไม่ ปัญหาข้อแรกโจทก์มีตัวโจทก์และนางกำจัดกลีบแก้ว เบิกความว่า โจทก์ได้นำพลอยจำนวน 3 หมู่ไปฝากให้จำเลยขาย กำหนดให้ขายในราคาไม่ต่ำกว่าหมู่ละ 20,000 บาท หากขายไม่ได้ภายใน 2 สัปดาห์ จำเลยจะต้องนำพลอยไปคืนให้โจทก์ ความดังกล่าวจำเลยก็ยอมรับต่อร้อยตำรวจโทรันดร เรืองเลขา เมื่อวันที่ 25มีนาคม 2530 ซึ่งเป็นวันที่โจทก์ไปแจ้งความกล่าวหาจำเลย และร้อยตำรวจโทรันดร ได้มาเบิกความเป็นพยานโจทก์ยืนยันว่าจำเลยรับว่าได้รับมอบพลอยของโจทก์ไปแล้ว ไม่นำพลอยหรือเงินคืนโจทก์จริง จึงฟังได้ว่าโจทก์มอบพลอยจำนวน 3 หมู่ให้จำเลยไปขายให้จริงปัญหาข้อต่อไปเห็นว่า โจทก์มอบหมายให้จำเลยขายพลอยให้โดยกำหนดราคาขั้นต่ำไว้ จำเลยจะขายในราคาสูงกว่าก็ได้ ในลักษณะเช่นนี้จำเลยย่อมมีสิทธิขายพลอยอย่างเป็นของตนเอง หาใช่เป็นตัวแทนไปขายในนามของโจทก์ไม่ แม้จะมีข้อตกลงให้ค่าตอบแทนแก่จำเลยเป็นเงิน 3เปอร์เซ็นต์ของเงินที่ขายได้ ก็ไม่ทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างโจทก์จำเลยเปลี่ยนแปลงไป การที่เมื่อครบกำหนดแล้ว จำเลยไม่ยอมคืนพลอยหรือใช้เงินให้โจทก์เป็นเพียงผิดข้อตกลงกัน ซึ่งโจทก์จะต้องใช้สิทธิเรียกร้องแก่จำเลยในทางแพ่ง หาเป็นเรื่องมีมูลความผิดในทางอาญาฐานยักยอกดังที่โจทก์ฟ้องไม่ ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องโจทก์มานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน