คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1577/2548

แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ

ย่อสั้น

คดีก่อนคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค โดยพนักงานอัยการในฐานะเจ้าหน้าที่คุ้มครองผู้บริโภคเป็นโจทก์ฟ้องคดีแทนโจทก์คดีนี้ในกรณีที่โจทก์คดีนี้ทำสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินพร้อมอาคารจากจำเลย โดยชำระเงินจองและผ่อนชำระราคาไปแล้ว ขอให้จำเลยชำระเงินพร้อมดอกเบี้ยแก่โจทก์คดีนี้ การที่โจทก์มาฟ้องคดีนี้ขอให้จำเลยคืนเงินพร้อมดอกเบี้ยที่โจทก์ได้ชำระไปตามสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินพร้อมอาคารรายเดียวกันอีก จึงเป็นการยื่นคำฟ้องเรื่องเดียวกันเป็นเพียงซ้อนกับคดีก่อนต้องห้ามตาม ป.วิ.พ. มาตรา 173 วรรคสอง (1) แม้ต่อมาโจทก์ในคดีก่อนจะขอแก้ไขคำฟ้องโดยขอตัดรายชื่อโจทก์คดีนี้จากคำฟ้อง ก็ไม่ทำให้ฟ้องโจทก์คดีนี้ซึ่งไม่ชอบด้วยกฎหมายมาแต่ต้นกลับเป็นฟ้องที่ชอบด้วยกฎหมาย

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 22 พฤศจิกายน 2536 โจทก์ตกลงทำสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินพร้อมอาคารโครงการเมืองทองสุขสวัสดิ์ จากจำเลย โดยชำระเงินให้จำเลยไปแล้วจำนวน 189,750 บาท จำเลยตกลงจะก่อสร้างอาคารให้แล้วเสร็จและจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ให้โจทก์ภายในกำหนด 24 เดือน นับแต่วันทำสัญญา ครั้นครบกำหนดจำเลยไม่จดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ให้ โจทก์จึงมีหนังสือขอให้จำเลยปฏิบัติตามสัญญา หากพ้นกำหนดให้ถือว่าหนังสือฉบับดังกล่าวเป็นการบอกเลิกสัญญา จำเลยเพิกเฉย คิดดอกเบี้ยถึงวันฟ้องเป็นจำนวน 64,594 บาท ขอให้จำเลยชำระเงิน 254,344 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 189,750 บาท นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงินจำนวน 189,750 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 6 มกราคม 2539 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงได้ความตามสำเนาคำฟ้องคดีหมายเลขดำที่ 1640/2543 ของศาลแพ่งว่า คณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค โดยพนักงานอัยการสำนักงานอัยการสูงสุด ในฐานะเจ้าหน้าที่คุ้มครองผู้บริโภคเป็นโจทก์ฟ้องคดีแทนโจทก์คดีนี้ในกรณีที่โจทก์คดีนี้ทำสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินพร้อมอาคารจากจำเลย โดยชำระเงินจองและผ่อนชำระราคาไปแล้ว 189,750 บาท ขอให้จำเลยชำระเงินพร้อมดอกเบี้ยแก่โจทก์คดีนี้เมื่อวันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2543 การที่โจทก์มาฟ้องคดีนี้ต่อศาลชั้นต้นขอให้จำเลยคืนเงินพร้อมดอกเบี้ยที่โจทก์ได้ชำระไปตามสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินพร้อมอาคารรายเดียวกันอีกในวันที่ 19 กรกฎาคม 2543 จึงเป็นการยื่นคำฟ้องเรื่องเดียวกันนั้นต่อศาลอื่นอันเป็นฟ้องซ้อนกับคดีก่อนต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 173 วรรคสอง (1) แม้ต่อมาโจทก์ในคดีก่อนจะขอแก้ไขคำฟ้องโดยขอตัดรายชื่อโจทก์คดีนี้จากคำฟ้องเมื่อวันที่ 11 มิถุนายน 2544 ตามสำเนาคำร้องเอกสารท้ายคำแก้ฎีกาของโจทก์ ก็ไม่ทำให้ฟ้องโจทก์คดีนี้ซึ่งไม่ชอบด้วยกฎหมายมาแต่ต้นกลับเป็นฟ้องที่ชอบด้วยกฎหมาย ฎีกาของจำเลยข้อนี้ฟังขึ้น และกรณีไม่จำต้องวินิจฉัยปัญหาตามฎีกาของจำเลยประการต่อไปว่าการบอกเลิกสัญญาของโจทก์ชอบหรือไม่”
พิพากษากลับให้ยกฟ้อง แต่ไม่ตัดสิทธิโจทก์ที่จะฟ้องคดีใหม่

Share