แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
คดีฟ้องขับไล่ จำเลยมิได้กล่าวแก้เป็นข้อพิพาทด้วยกรรมสิทธิ์ แม้ข้อเท็จจริงตามสำนวนจะไม่ปรากฏว่า ที่พิพาทอาจให้เช่าในขณะยื่นคำฟ้องเกินเดือนละห้าพันบาทหรือไม่แต่มีชื่อตำบล อำเภอ และจังหวัดซึ่งที่พิพาทตั้งอยู่ ทั้งมีเนื้อที่เพียง 15 ตารางวา และไม่ปรากฏว่าเป็นที่อยู่ในทำเลการค้าอันจะทำให้ค่าเช่าที่ดินสูงเป็นพิเศษแต่อย่างใด เห็นได้ว่าที่พิพาทอาจให้เช่าในขณะยื่นคำฟ้องได้ไม่เกินเดือนละห้าพันบาท จึงต้องห้ามมิให้ฎีกาในข้อเท็จจริง
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยบุกรุกเข้าไปปลูกสร้างบ้านเรือนในที่ดินของโจทก์ ๑๕ ตารางวา ขอให้บังคับให้จำเลยออกไป
จำเลยให้การว่า ที่ดินที่จำเลยปลูกห้องแถวเป็นที่สาธารณสมบัติของแผ่นดินหากอยู่ในเขตโฉนดของโจทก์ โจทก์ก็ออกโฉนดทับที่สาธารณะ ไม่มีอำนาจฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยรื้อถอนบ้านเรือนของจำเลยออกไปจากที่ดินของโจทก์
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีนี้โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยออกจากที่ดินโจทก์ โดยกล่าวหาว่า จำเลยบุกรุกเข้าไปปลูกสร้างบ้านเรือนในที่ดิน โจทก์เป็นเนื้อที่ประมาณ ๑๕ ตารางวา และจำเลยมิได้กล่าวแก้เป็นข้อพิพาทด้วยกรรมสิทธิ์ซึ่งตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๔๘ หากว่าที่ดินที่โจทก์กล่าวหาว่าจำเลยบุกรุก ในขณะยื่นคำร้องอาจให้เช่าได้ไม่เกินเดือนละห้าพันบาทแล้ว คู่ความต้องห้ามมิให้ฎีกาข้อเท็จจริง ศาลฎีกาเห็นว่า แม้ข้อเท็จจริงตามสำนวนจะไม่ปรากฏว่า ที่ดินที่พิพาทกันอาจให้เช่าในขณะยื่นคำฟ้องเกินเดือนละห้าพันบาทหรือไม่ แต่ที่พิพาทอยู่ที่ตำบลงิ้วราย อำเภอตะพานหิน จังหวัดพิจิตร มีเนื้อที่เพียงประมาณ ๑๕ ตารางวา และไม่ปรากฏว่าเป็นที่อยู่ในทำเลการค้าอันจะทำให้ค่าเช่าที่ดินสูงเป็นพิเศษแต่อย่างใด เห็นได้ว่าที่พิพาทอาจให้เช่าในขณะยื่นคำฟ้องได้ไม่เกินเดือนละห้าพันบาทจำเลยจึงต้องห้ามมิให้ฎีกาข้อเท็จจริง
พิพากษายกฎีกาจำเลย