แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
คดีระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 2 เป็นเรื่องโจทก์ฟ้องเรียกค่าทดแทนจากจำเลยที่ 2 ซึ่งโจทก์กล่าวหาว่า เป็นชู้กับจำเลยที่ 1 ภรรยาโจทก์ ตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1505 (เดิม) ซึ่งกำหนดอายุความตามมาตรา 1509 ว่า สามเดือนนับแต่วันที่โจทก์รู้หรือควรรู้ความจริงซึ่งอาจยกขึ้นกล่าวอ้าง ปรากฏว่า โจทก์ได้ทราบว่าจำเลยที่ 2 เป็นชู้กับจำเลยที่ 1 เมื่อวันที่ 16 ตุลาคม 2519 ซึ่งเป็นวันที่ ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ 5 ที่ได้ตรวจชำระใหม่ พ.ศ. 2519 ใช้บังคับจึงยกอายุความที่บัญญัติไว้ในกฎหมายฉบับนี้ มาตรา 1529 ซึ่งมีกำหนด 1 ปีมาใช้บังคับไม่ได้ เพราะขัดต่อ พระราชบัญญัติให้ใช้ ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ 5 มาตรา 9
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นสามีของจำเลยที่ ๑ และจำเลยที่ ๒ เป็นชายชู้กับจำเลยที่ ๑ จึงขอฟ้องหย่ากับจำเลยที่ ๑ และเรียกค่าเสียหายจากจำเลยทั้งสอง
จำเลยที่ ๑ ให้การว่าได้เป็นชู้กับจำเลยที่ ๒ จริง ยินดีจะหย่ากับโจทก์ แต่ตกลงเรื่องบุตรและทรัพย์สินยังไม่ได้
จำเลยที่ ๒ ให้การว่า จำเลยที่ ๑ ไม่ใช่ภรรยาโจทก์ จำเลยที่ ๒ ไม่เคยเป็นชู้กับจำเลยที่ ๑ โจทก์ใช้สิทธิไม่สุจริต ข้อเท็จจริงตามฟ้องเกิดมานานแล้ว คดีโจทก์ขาดอายุความ
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ ๑ หย่าขาดกับโจทก์ ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้ค่าทดแทนให้โจทก ๑๐๐,๐๐๐ บาท
จำเลยที่ ๒ อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยที่ ๒ ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ในปัญหาที่ว่าคดีโจทก์ขาดอายุความหรือไม่นั้น เห็นว่า คดีระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๒เป็นเรื่องโจทก์ฟ้องเรียกค่าทดแทนจากจำเลยที่ ๒ ซึ่งโจทก์กับจำเลยที่ ๒ เป็นเรื่องโจทก์ฟ้องเรียกค่าทดแทนจากจำเลยที่ ๒ ซึ่งโจทก์กล่าวหาว่า เป็นชู้กับจำเลยที่ ๑ ภรรยาโจทก์ ตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ ๕ เดิม มาตรา ๑๕๐๕ อันเป็นกฎหมายที่ใช้บังคับอยู่ในขณะเกิดคดี ซึ่งมาตรา ๑๕๐๙ แห่ง กฎหมายดังกล่าวบัญญัติว่า สิทธิฟ้องร้องย่อมระงับไปเมื่อพ้นกำหนดสามเดือนนับแต่วันโจทก์ผู้กล่าวอ้างรู้หรือควรจะรู้ความจริง ซึ่งตนอาจยกขึ้นกล่าวอ้าง ปรากฏจากคำเบิกความของตัวโจทก์ว่า โจทก์ได้ทราบว่าจำเลยที่ ๒ เป็นชู้กับจำเลยที่ ๑ เมื่อวันที่ ๑๒-๑๔ เมษายน ๒๕๑๙ วันครบ สามเดือนนับแต่วันโจทก์ รู้ความจริงคือวันที่ ๑๔ กรกฎาคม ๒๕๑๙ สิทธิที่โจทก์จะฟ้องจำเลยที่ ๒ จึงระงับไปตั้งแต่วันที่ ๑๕กรกฎาคม ๒๕๑๙ ก่อนวันที่ ๑๖ ตุลาคม ๒๕๑๙ ซึ่งเป็นวันที่ ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ ๕ ที่ได้ตรวจชำระใหม่ พ.ศ. ๒๕๑๙ ประกาศใช้มีผลบังคับ กรณีจึงยกเอาอายุความที่บัญญัติไว้ในกฎหมายฉบับนี้ มาตรา ๑๕๒๙ ซึ่งยาวกว่าคือมีกำหนด ๑ ปี มาใช้บังคับให้เป็นประโยชน์แก่คดีโจทก์ไม่ได้ เพราะขัดต่อพระราชบัญญัติให้ใช้บทบัญญัติบรรพ ๕ แห่ง ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ที่ได้ตรวจชำระใหม่ พ.ศ. ๒๕๑๙ มาตรา ๙ ซึ่งบัญญัติว่าบรรดาอายุความหรือระยะเวลาที่บทบัญญัติแห่ง ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตราได้กำหนดไว้ก่อนวันใช้บังคับบทบัญญัติบรรพ ๕ แห่ง ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ที่ได้ตรวจชำระใหม่ และอายุความหรือระยะเวลาที่กำหนดขึ้นใหม่ นั้นแตกต่างกับอายุความหรือระยะเวลาที่กำหนดไว้แต่เดิม ก็ให้นำอายุความหรือระยะเวลาที่ยาวกว่า มาบังคับ ซึ่งหมายความว่า ในกรณีเช่นคดีนี้จะใช้อายุความที่กำหนดไว้ในบรรพ ๕ แห่ง ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ที่ได้ตรวจชำระใหม่ยาวกว่า อายุความที่ ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ ๕เดิมที่ถูกยกเลิกไปแล้วมาบังคับในเมื่อนับถึงวันที่ ๑๖ ตุลาคม ๒๕๑๙ อันเป็นวันที่บทบัญญัติบรรพ ๕ แห่งประมวลกฎหมายแห่งและพาณิชย์ที่ได้ตรวจชำระใหม่ พ.ศ.๒๕๑๙ มีผลใช้บังคับ อายุความที่กำหนดไว้ตามกฎหมายฉบับเดิม ยังไม่สุดสิ้นลงเท่านั้น เมื่อคดีขาดอายุความเสียก่อนวันดังกล่าว ก็ไม่มีทางจะนำอายุความตาม บรรพ ๕ แห่ง ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ที่ได้ตรวจชำระใหม่ มาใช้บังคับได้ คดีโจทก์จึงขาดอายุความ
พิพากษาแก้เป็นให้ยกฟ้องโจทก์ สำหรับจำเลยที่ ๒