คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1546/2514

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์นำเจ้าพนักงานศาลไปส่งหมายเรียกและสำเนาฟ้องให้แก่จำเลยที่บ้านเรือนของจำเลย ไม่พบจำเลย บุตรจำเลยว่าจำเลยไปธุระแต่ไม่ยอมรับหมายแทน แล้วโจทก์ยังแถลงยืนยันว่าจำเลยมีภูมิลำเนาอยู่ตามฟ้องและว่าส่วนมากจำเลยจะอยู่บ้านไม่ค่อยจะไปไหน ดังนี้ จะถือว่ากรณีเป็นเรื่องไม่สามารถส่งโดยวิธีธรรมดาได้ยังไม่ชอบถ้าศาลสั่งอนุญาตให้ลงโฆษณาทางหนังสือพิมพ์แทนการส่งหมายโดยวิธีธรรมดาก็เป็นการขัดต่อประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 79 จะถือว่าจำเลยได้ทราบประกาศการส่งหมายเรียกและสำเนาฟ้องแล้วโดยผลของกฎหมายไม่ได้ และการส่งคำบังคับก็ได้กระทำโดยการโฆษณาทางหนังสือพิมพ์อีก ย่อมเป็นกระบวนพิจารณาที่ขัดต่อกฎหมายเช่นกัน ต่อมาจำเลยถูกยึดทรัพย์เมื่อการส่งหมายเรียกและสำเนาฟ้องและการส่งคำบังคับได้กระทำไปโดยไม่ชอบ จำเลยจึงมีสิทธิยื่นคำขอให้พิจารณาใหม่ได้ภายใน 6 เดือน นับแต่วันที่ได้ยึดทรัพย์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 208

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่าจำเลยที่ 1 กู้เงินโจทก์ไป จำเลยที่ 2 เป็นผู้ค้ำประกัน ขอให้บังคับให้จำเลยที่ 1 ชำระเงินต้นและดอกเบี้ย ถ้าจำเลยที่ 1 ไม่ชำระก็ขอให้บังคับให้จำเลยที่ 2 ชำระแทน

จำเลยทั้งสองขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา

ศาลชั้นต้นพิจารณาคดีโดยสืบพยานโจทก์ฝ่ายเดียวแล้วพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ชำระเงินต้นและดอกเบี้ยแก่โจทก์ ถ้าจำเลยที่ 1 ไม่ชำระ ให้บังคับให้จำเลยที่ 2 ชำระแทน

โจทก์ยื่นคำแถลงว่าจำเลยทั้งสองไม่มีตัวอยู่ ณ บ้านเรือน ขอให้มีคำสั่งบังคับคดีแก่จำเลยทั้งสองโดยประกาศทางหนังสือพิมพ์ ศาลสั่งให้ประกาศคำบังคับทางหนังสือพิมพ์ เมื่อครบกำหนดแล้วจำเลยทั้งสองไม่ได้ปฏิบัติตามคำบังคับ โจทก์ขอให้ศาลบังคับคดียึดทรัพย์จำเลยที่ 2โดยอ้างว่าจำเลยที่ 1 ไม่มีทรัพย์สิน ศาลออกหมายบังคับคดี เจ้าพนักงานบังคับคดีได้ทำการยึดทรัพย์ของจำเลยที่ 2

จำเลยที่ 2 ยื่นคำร้องลงวันที่ 7 สิงหาคม 2513 ว่า จำเลยที่ 2 ไม่เคยทราบว่าได้ถูกฟ้องเลย จำเลยที่ 2 ไม่เคยทำสัญญาค้ำประกันไว้กับโจทก์ การประกาศทางหนังสือพิมพ์แทนการส่งหมายเรียกและสำเนาฟ้องนั้นไม่ชอบด้วยกฎหมาย เพราะโจทก์ทราบที่อยู่ของจำเลยที่ 2 ดี เป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาที่ผิดระเบียบ ขอให้ศาลเพิกถอนและให้ดำเนินการพิจารณาใหม่ ศาลชั้นต้นสั่งว่าข้อค้านเรื่องผิดระเบียบมิได้กล่าวอ้างก่อนศาลมีคำพิพากษา จึงให้ยกคำร้อง

วันที่ 10 สิงหาคม 2513 จำเลยที่ 2 ยื่นคำร้องว่า จำเลยที่ 2 มิได้จงใจขาดนัด ขอให้พิจารณาใหม่อีกครั้ง ศาลสั่งว่าคำร้องของจำเลยที่ 2 ยังไม่ถูกต้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 207, 208 ให้ยกคำร้องในวันเดียวกันนั้น จำเลยที่ 2 ยื่นคำร้องใหม่อีกว่าเมื่อวันที่ 26 กรกฎาคม 2513 โจทก์นำเจ้าพนักงานบังคับคดีของศาลจังหวัดนครปฐมไปยึดทรัพย์ของจำเลยที่ 2 โดยจำเลยที่ 2 มิได้ทราบเลยว่าโจทก์ฟ้องจำเลยที่ 2 โจทก์ให้พนักงานของศาลจังหวัดนครปฐมไปส่งหมายเรียกและสำเนาฟ้องให้แก่จำเลยที่ 2 ที่บ้านอันเป็นภูมิลำเนาของจำเลยที่ 2 เมื่อไม่พบเพราะจำเลยที่ 2 ไปธุระที่ตลาดบ้านโป่ง ไม่มีผู้รับแทนโจทก์ไม่ขวนขวายหาหลักฐานมาแสดงต่อศาลว่าจำเลยที่ 2 มีภูมิลำเนาที่พอจะให้ปิดหมายได้ และโจทก์สามารถส่งหมายตามวิธีธรรมดาได้ แต่โจทก์กลับขอให้ศาลประกาศทางหนังสือพิมพ์แทนการส่งหมาย จำเลยที่ 2 อยู่ในชนบทห่างไกล ไม่มีหนังสือพิมพ์ฉบับที่ลงประกาศจะอ่าน เป็นความผิดของโจทก์ที่ดำเนินคดีโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย จึงไม่มีสิทธิที่จะขอให้ศาลมีคำสั่งว่าจำเลยที่ 2 ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณาและหากศาลได้ฟังข้อเท็จจริงจากจำเลยที่ 2 และตรวจดูลายมือชื่อในสัญญาค้ำประกันแล้ว ศาลจะไม่พิพากษาให้จำเลยที่ 2 รับผิดในหนี้ที่ฟ้อง จึงขอให้มีคำสั่งนัดไต่สวนและให้จำเลยที่ 2 ยื่นคำให้การและดำเนินกระบวนพิจารณาคดีนี้ใหม่

ศาลชั้นต้นสั่งคำร้องว่า จำเลยที่ 2 บรรยายความในคำร้องมิได้เป็นไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 209ให้ยกคำร้อง

จำเลยที่ 2 อุทธรณ์คำสั่ง

ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า กรณีเรื่องนี้จะถือว่าเป็นเรื่องไม่สามารถจะส่งหมายเรียกและสำเนาฟ้องโดยวิธีธรรมดาได้หาชอบไม่ที่ศาลชั้นต้นให้ลงโฆษณาทางหนังสือพิมพ์แทนการส่งหมายโดยวิธีธรรมดาจึงขัดต่อประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 79 จะถือว่าจำเลยที่ 2ได้ทราบประกาศการส่งหมายเรียกและสำเนาฟ้องแล้วไม่ได้ และการส่งคำบังคับก็เป็นกระบวนพิจารณาที่ขัดต่อกฎหมายด้วยเหตุผลทำนองเดียวกันจำเลยที่ 2 ได้ทราบคำบังคับตามคำพิพากษาในวันที่ 26 กรกฎาคม 2513 ซึ่งเป็นวันถูกยึดทรัพย์ นับถึงวันที่ยื่นคำร้องขอให้พิจารณาใหม่ยังไม่เกิน 15 วันตามมาตรา 208 และไม่ขัดต่อข้อจำกัดยกเว้นตามมาตรา 207 ทั้งคดีได้ความขัดโดยข้อเท็จจริงในสำนวนและข้อกฎหมายอยู่แล้ว ไม่จำต้องมีการไต่สวนต่อไป พิพากษากลับคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นพิจารณาคดีนี้ใหม่ ให้จัดให้จำเลยที่ 2 ได้รับหมายเรียกและสำเนาฟ้องโดยถูกต้องแล้วดำเนินกระบวนพิจารณาคดีต่อไป

โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ได้ความว่าเมื่อโจทก์นำเจ้าพนักงานศาลไปส่งหมายเรียกและสำเนาฟ้องให้จำเลยที่ 2 ที่บ้านเรือนจำเลยที่ 2 ไม่ได้เพราะไม่พบตัวจำเลยแล้ว โจทก์ได้แถลงต่อศาลยืนยันว่าจำเลยที่ 2 มีภูมิลำเนาอยู่ตามที่ปรากฏในฟ้อง และว่าส่วนมากจำเลยที่ 2 จะอยู่ที่บ้านไม่ค่อยจะได้ไปไหน ตามรายงานเจ้าหน้าที่ก็มิได้ปฏิเสธว่าตำบลที่อยู่ในฟ้องไม่ใช่บ้านเรือนของจำเลยที่ 2 เมื่อวันไปส่งหมายยังได้พบกับบุตรจำเลยที่ 2 บุตรจำเลยที่ 2 ยังบอกว่าจำเลยที่ 2 ไปธุระที่ตลาดบ้านโป่ง ดังนั้น เมื่อไปส่งหมายเรียกและสำเนาฟ้องให้จำเลยที่ 2 ซึ่งมีตัวอยู่และมีที่อยู่แน่นอนดังกล่าวไม่ได้ จะถือว่ากรณีเป็นเรื่องไม่สามารถจะส่งหมายเรียกและสำเนาฟ้องโดยวิธีธรรมดาได้นั้นยังไม่ชอบ ที่ศาลชั้นต้นสั่งอนุญาตให้ลงโฆษณาทางหนังสือพิมพ์แทนการส่งหมายโดยวิธีธรรมดาจึงเป็นการขัดต่อประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 79 และจะถือว่าจำเลยที่ 2 ได้ทราบประกาศการส่งหมายเรียกและสำเนาฟ้องแล้วโดยผลของกฎหมายไม่ได้ ส่วนการส่งคำบังคับก็ได้กระทำไปโดยทางโฆษณาในหนังสือพิมพ์เช่นเดียวกัน ย่อมถือได้ว่าเป็นกระบวนพิจารณาชั้นบังคับคดีที่ขัดต่อกฎหมาย โดยเหตุผลทำนองเดียวกัน

เมื่อพิเคราะห์บทบัญญัติมาตรา 208 แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งแล้วเห็นว่า การส่งหมายเรียกและสำเนาฟ้องก็ดี การส่งคำบังคับก็ดี ได้กระทำไปโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายดังได้วินิจฉัยแล้วจำเลยที่ 2 มีสิทธิยื่นคำขอให้พิจารณาใหม่ได้ภายใน 6 เดือนนับแต่วันที่ถูกยึดทรัพย์ ซึ่งเป็นระยะเวลาที่ยาวที่สุดที่กฎหมายให้ไว้ จำเลยที่ 2 ได้ยื่นคำขอให้พิจารณาใหม่ภายในระยะเวลา 6 เดือนนับแต่วันที่ถูกยึดทรัพย์แล้ว ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้ศาลชั้นต้นพิจารณาคดีนี้ใหม่นั้นศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย

พิพากษายืน

Share