คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1540/2531

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

ในระหว่างที่ใช้ธรรมนูญการปกครองราชอาณาจักร ถือว่าธรรมนูญการปกครองราชอาณาจักรเป็นกฎหมายสูงสุด บรรดาคำสั่งนายกรัฐมนตรีที่ออกโดยอาศัยอำนาจตามมาตรา 17 แห่งธรรมนูญการปกครองราชอาณาจักรดังกล่าวและโดยมติคณะรัฐมนตรีจึงเป็นคำสั่งที่ชอบด้วยกฎหมายและใช้บังคับได้ คำสั่งศาลชั้นต้นที่สั่งให้งดสืบพยานจำเลยมิได้ทำให้คดีเสร็จสิ้นไปทั้งเรื่องเป็นคำสั่งระหว่างพิจารณา เมื่อจำเลยมิได้โต้แย้งไว้ จำเลยจึงไม่มีสิทธิที่จะอุทธรณ์ฎีกาในประเด็นดังกล่าว

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ในที่ดินหมายเลขโฉนดที่6014 แขวงวังทองหลาง เขตบางกะปิ กรุงเทพมหานคร ซึ่งตกเป็นของรัฐตามคำสั่งนายกรัฐมนตรีที่ สลร.39/2517 เรื่องให้ทรัพย์สินของจอมพลถนอม กิตติขจร และภริยา จอมพลประภาส จารุเสถียรและภริยาและพันเอกณรงค์ กิตติขจร และภริยา ที่อายัดไว้ตามคำสั่งนายกรัฐมนตรีที่ สลร.40/2516 ลงวันที่ 30 ตุลาคม 2516 ตกเป็นของรัฐ ซึ่งออกโดยอาศัยอำนาจตามมาตรา 17 แห่งธรรมนูญการปกครองราชอาณาจักร พุทธศักราช 2515 และโดยมติของคณะรัฐมนตรี เมื่อประมาณเดือนกุมภาพันธ์ 2526 จำเลยทั้งสองร่วมกันบุกรุกเข้าครอบครองใช้ประโยชน์ในที่ดินโฉนดที่ 6014 ดังกล่าว เป็นการจงใจกระทำละเมิดต่อโจทก์ให้ได้รับความเสียหาย ขอบังคับให้จำเลยทั้งสองรื้อถอนอาคารสิ่งปลูกสร้างกับให้บริวารของจำเลยทั้งสองออกจากที่ดินโจทก์และให้ใช้ค่าเสียหาย จำเลยที่ 1 ที่ 2 ให้การว่า โจทก์มิใช่เจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาท คำสั่งนายกรัฐมนตรีที่ สลร.40/2516และที่ สลร.39/2517 ขัดต่อธรรมนูญการปกครองราชอาณาจักรขัดต่อสิทธิของประชาชนในการเป็นเจ้าของทรัพย์สิน ขัดต่อสิทธิมนุษยชน คำสั่งดังกล่าวไม่มีผลบังคับใช้โดยถูกต้องตามกฎหมายที่พิพาทยังมิได้ยึดหรืออายัดตามวิธีการของกฎหมายและยังมีชื่อจอมพลประภาสเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ขอให้ยกฟ้อง ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันรื้อถอนอาคารสิ่งปลูกสร้างและขนย้ายทรัพย์สินตลอดจนบริวารออกไปจากที่ดินโจทก์ และให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชดใช้ค่าเสียหาย จำเลยทั้งสองอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนจำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “มีข้อกฎหมายที่จะวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยทั้งสองว่า ที่ศาลชั้นต้นสั่งให้งดสืบพยานจำเลยเป็นการชอบหรือไม่นั้นเห็นว่า คำสั่งศาลชั้นต้นที่สั่งให้งดสืบพยานจำเลยตามรายงานกระบวนพิจารณาลงวันที่ 8 สิงหาคม 2527 มิได้ทำให้คดีเสร็จไปทั้งเรื่อง จึงเป็นคำสั่งในระหว่างพิจารณา เมื่อปรากฏว่าจำเลยมิได้โต้แย้งคำสั่งศาลไว้ จำเลยจึงไม่มีสิทธิที่จะอุทธรณ์ฎีกาในประเด็นดังกล่าวได้ ศาลอุทธรณ์ไม่รับวินิจฉัยจึงชอบแล้ว ฎีกาของจำเลยที่ว่า คำสั่งนายกรัฐมนตรีที่ออกโดยอาศัยอำนาจตามมาตรา 17 แห่งธรรมนูญการปกครองราชอาณาจักร และโดยมติคณะรัฐมนตรีมิใช่กฎหมาย หากรัฐอ้างว่าได้กรรมสิทธิ์ที่พิพาทแต่ยังมิได้จดทะเบียนเปลี่ยนแปลงกรรมสิทธิ์ จะยกเป็นข้อต่อสู้บุคคลภายนอกซึ่งมีชื่อตามทะเบียนไม่ได้นั้น เห็นว่า ในระหว่างที่ใช้ธรรมนูญการปกครองราชอาณาจักรถือว่า ธรรมนูญการปกครองราชอาณาจักรเป็นกฎหมายสูงสุด บรรดาคำสั่งของนายกรัฐมนตรีที่ออกโดยอาศัยอำนาจตามมาตรา 17 แห่งธรรมนูญการปกครองราชอาณาจักรและโดยมติคณะรัฐมนตรี จึงเป็นคำสั่งที่ชอบด้วยกฎหมายและใช้บังคับได้ดังที่ศาลล่างทั้งสองวินิจฉัย ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน

Share