แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
โจทก์นำรถยนต์จอดฝากจำเลยไว้ที่หน้าร้านของจำเลย โดยไม่มีบำเหน็จค่าฝากต่อมารถยนต์ของโจทก์หายไป ข้อเท็จจริง ที่โจทก์จำเลยนำสืบรับกันว่ารถยนต์ของจำเลยจอดไว้ที่หน้าร้าน ของจำเลยเป็นประจำเช่นเดียวกัน ถือได้ว่าจำเลยผู้รับฝาก ได้ใช้ความระมัดระวังสงวนทรัพย์สินรถยนต์ของโจทก์เหมือนเช่นเคย ประพฤติในกิจการของจำเลยแล้ว โจทก์ฎีกาว่าจำเลยไม่ได้นำสืบให้เห็นว่าจำเลยได้ล็อกกุญแจ ประตูทุกบาน ล็อกเบรคและพวงมาลัยล็อกเกียร์ หรือตัดสัญญาณไฟ โดยถอดหัวเทียนรถยนต์ของจำเลยก่อนจอดรถยนต์ทิ้งไว้หรือไม่ เมื่อจำเลยได้ปฏิบัติต่อรถยนต์ของโจทก์เช่นเดียวกัน จึงเป็น หน้าที่ของโจทก์ที่จะต้องนำสืบให้ฟังได้ตามที่โจทก์กล่าวอ้าง เมื่อโจทก์ไม่นำสืบข้อเท็จจริงจึงไม่อาจรับฟังได้ว่าจำเลยไม่ได้ ใช้ความระมัดระวังในการดูแลรถยนต์ของโจทก์เหมือนเช่นเคย ปฏิบัติในการดูแลรถยนต์ของจำเลยเอง
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์นำรถยนต์กระบะหมายเลขทะเบียน3ท-9151 กรุงเทพมหานคร ราคา 341,136 บาท ไปฝากจำเลยไว้แต่จำเลยมิได้ใช้ความระมัดระวังดูแลรถยนต์ของโจทก์ดังเช่นทรัพย์สินของตนเอง ทำให้รถยนต์ของโจทก์ถูกคนร้ายลักไปขอให้จำเลยชำระเงินค่ารถยนต์ดังกล่าว 340,000 บาท ให้แก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ย
จำเลยให้การว่า โจทก์ฝากรถยนต์โดยไม่มีค่าตอบแทนจำเลยไม่ได้ขาดความระมัดระวังดูแลทรัพย์สินของโจทก์ รถยนต์ของโจทก์เป็นรถยนต์เก่ามีราคาไม่เกิน 150,000 บาท ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษาให้จำเลยใช้เงิน 130,000 บาทพร้อมด้วยดอกเบี้ย
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์ฎีกา โดยผู้พิพากษาที่ได้นั่งพิจารณาคดีในศาลชั้นต้นรับรองว่ามีเหตุสมควรที่จะฎีกาในข้อเท็จจริงได้
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงรับฟังยุติตามคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ภาค 1 ซึ่งคู่ความไม่โต้แย้งคัดค้านว่า เมื่อวันที่26 มิถุนายน 2537 โจทก์นำรถยนต์หมายเลขทะเบียน 3ท-9151กรุงเทพมหานคร ซึ่งโจทก์เช่าซื้อมาไปจอดฝากจำเลยไว้ที่หน้าร้านของจำเลยโดยไม่มีบำเหน็จค่าฝาก หลังจากนั้นโจทก์กับจำเลยไปที่ห้องพักของโจทก์ที่จังหวัดปทุมธานีและอยู่ด้วยกันจนกระทั่งเช้าวันรุ่งขึ้นจึงทราบว่ารถยนต์ของโจทก์สูญหายไป ปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์มีว่า ในการรับฝากรถยนต์ของโจทก์ จำเลยได้ใช้ความระมัดระวังสงวนรถยนต์ของโจทก์เหมือนเช่นเคยประพฤติในกิจการของตนเองหรือไม่ โจทก์และจำเลยเบิกความตรงกันว่าร้านของจำเลยเป็นตึกแถวไม่มีที่จอดรถยนต์ ปกติจำเลยก็จอดรถยนต์ของจำเลยไว้ที่หน้าร้านดังกล่าว รถยนต์ของโจทก์ที่จอดนั้นได้จอดแทนที่รถยนต์ของจำเลย เห็นว่า การที่จำเลยรับฝากรถยนต์ของโจทก์โดยจอดรถยนต์ของโจทก์ไว้หน้าร้านของจำเลยซึ่งเป็นตึกแถวไม่มีที่จอดรถยนต์ ซึ่งรถยนต์ของจำเลยเองก็จอดไว้ที่หน้าร้านดังกล่าวเป็นประจำ ถือได้ว่าจำเลยได้ใช้ความระมัดระวังสงวนรถยนต์ของโจทก์เหมือนเช่นเคยประพฤติในกิจการของจำเลยแล้ว และที่โจทก์ ฎีกาว่าจำเลยไม่ได้นำสืบให้เห็นว่าจำเลยได้ตรวจตราดูแลโดยล็อกกุญแจประตูทุกบาน ล็อกเบรกและพวงมาลัย ล็อกเกียร์หรือตัดสัญญาณไฟโดยถอดสายหัวเทียนรถยนต์ของจำเลยก่อนจอดรถยนต์ทิ้งไว้หรือไม่ แล้วจำเลยได้ปฏิบัติต่อรถยนต์ของโจทก์เช่นเดียวกัน เห็นว่า เป็นหน้าที่ของโจทก์ที่จะต้องนำสืบให้เห็นว่าในการที่จำเลยจอดรถยนต์ของจำเลยไว้จำเลยต้องกระทำการตามที่โจทก์อ้าง แต่ในการจอดรถยนต์ของโจทก์จำเลยบกพร่องไม่ได้กระทำดังกล่าว เมื่อโจทก์ไม่ได้นำสืบไว้จึงไม่อาจรับฟังได้ว่าจำเลยไม่ได้ใช้ความระมัดระวังในการดูแลรถยนต์ของโจทก์เหมือนเช่นเคยประพฤติดูแลรถยนต์ของจำเลยเองจำเลยไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 659 วรรคหนึ่ง ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายกฟ้องโจทก์ชอบแล้ว ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น ฎีกาของโจทก์ข้ออื่นไม่จำต้องวินิจฉัย”
พิพากษายืน