คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 151/2505

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 377 แบ่งสัตว์ได้เป็น 2 จำพวก คำว่า สัตว์ร้าย หมายความว่า โดยธรรมชาติของสัตว์นั้นเองเป็นสัตว์ที่มีนิสัยทั้งดุและร้ายกาจเป็นปกติอยู่ในตัว และเป็นสัตว์ที่เป็นภัยอันตรายอันน่าสพึงกลัวต่อบุคคลผู้ได้พบเห็น เช่น เสือ จรเข้หรืองูพิษเป็นต้น ส่วนคำว่า สัตว์ดุ หมายความว่า โดยธรรมชาติของสัตว์นั้นเองมิใช่สัตว์ร้าย แต่อาจะเป็นสัตว์ดุซึ่งเจ้าของจะต้องมีการควบคุมดูแลเป็นพิเศษ ผิดจากปกติธรรมดา โดยล่ามโซ่หรือขังกรงไว้ เช่น สุนักข์ เป็นต้น

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยมีสุนักข์ดุ ๒ ตัว ได้บังอาจปล่อยปละละเลยให้สุนักข์ ๒ ตัวนั้นไปกัดลูกสุกรของนายสงวน ทรัพย์มั่งมีตาย ๑ ตัวราคา ๑๕๐ บาท ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๗๗
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า สุนักข์ซึ่งเป็นสัตว์เลี้ยงไม่เป็นสัตว์ดุหรือสัตว์ร้ายตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๗๗ สืบพยานไปก็ฟังเอาผิดแก่จำเลยไม่ได้ พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ยกคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นสืบพยานโจทก์จำเลยต่อไปแล้วพิพากษาใหม่
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๗๗ แบ่งสัตว์ได้เป็น ๒ จำพวก คำว่า สัตว์ร้าย หมายความว่า โดยธรรมชาติของสัตว์นั้นเองเป็นสัตว์ที่มีนิสัยทั้งดุและร้ายกาจเป็นปกติอยู่ในตัว และเป็นสัตว์ที่เป็นภัยอันตรายอันน่าสพึงกลัวต่อบุคคลผู้ได้พบเห็น เช่น เสือ จรเข้หรืองูพิษเป็นต้น ส่วนคำว่า สัตว์ดุ หมายความว่า โดยธรรมชาติของสัตว์นั้นเองมิใช่สัตว์ร้าย แต่อาจะเป็นสัตว์ดุซึ่งเจ้าของจะต้องมีการควบคุมดูแลเป็นพิเศษ ผิดจากปกติธรรมดา โดยล่ามโซ่หรือขังกรงไว้ เช่น สุนักข์ เป็นต้น มิฉะนั้น ถ้าปล่อยปละละเลยแล้วก็อาจจะไปทำอันตรายแก่บุคคลหรือทรัพย์ของผู้อื่นได้ สัตว์จำพวกนี้จึงเข้าความหมายเป็นสัตว์ดุ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๗๗ ตามที่โจทก์ฟ้อง พิพากษายืน

Share